2 จิตตวิเวก
รูปแบบการปฏิบัติธรรมทางวิทยุ (Guided Meditation) ฟังไปด้วย, นั่งสมาธิไปด้วย เพื่อทำจิตที่ประภัสสรให้ผ่องใส ด้วยการเจริญสมถวิปัสสนา นำธรรมะเข้าสู่จิตใจให้ชุ่มเย็นอ่อนเหมาะควรแก่การงาน. New Episode ทุกวันอังคาร เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ผู้พ้นบ่วงแห่งมาร [6843-2m]

ธรรมชาติของจิตมัก "ส่งออก" ไปคิดเรื่องต่าง ๆ คล้าย "ลิง"โหนกิ่งไม้ไปมา หาก "เพลิน" ตามความคิด จะมีอารมณ์มาพร้อมกับความคิดนั้นๆเสมอ ถ้าไม่มีสติ จะเกิดการเกลือกกลั้ว นำไปสู่กิเลส ความเศร้าหมอง ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้จิตขึ้นลงตามอารมณ์และตกอยู่ในบ่วงของมาร
การฝึกสติจึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรอดพ้นบ่วงของมาร สติคือการระลึกรู้อยู่ที่ "ลมหายใจ" เป็นหลัก (เป็นที่เกาะ ที่จับ หรือเสา) สติจะทำหน้าที่แยกแยะส่วนประกอบต่าง ๆ ในใจ และ "รักษาจิต" ไม่เผลอเพลินไปตามอารมณ์ที่ติดมากับสิ่งนั้น โดยมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องฝึกสติ
เมื่อมีสติรักษาจิต จะทำให้จิตไม่เข้าไปเกลือกกลั้วในอารมณ์ที่มากับผัสสะ ทำให้ไม่เกิดราคะ โทสะ โมหะ จิตจะไม่เศร้าหมอง และเมื่อควบคุมจิตได้ จะสามารถรอดพ้นจากบ่วงของมารได้ในที่สุด
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
แยกส่วนประกอบในช่องทางใจ [6842-2m]

จิตที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนจะถูกครอบงำด้วยความเคยชิน เปรียบเหมือนสัตว์หกชนิดที่แล่นไปตามอารมณ์และผัสสะ (การกระทบ) และนำมานำมาซึ่งปัญหาและความทุกข์ หากแต่ เราฝึกฝนจิตให้ดีด้วยหลักการ: สัมมาสติ คือฝึกสติ เพื่อ แยกแยะ สิ่งที่มากระทบออกเป็น นาม รูป และวิญญาณ และให้ใช้ กุศลธรรม เป็นเกณฑ์ โดยให้ จดจ่อรู้ลม (ฌาน) แต่ รับรู้แต่ไม่ตามไป กับอารมณ์ รวมถึง เจริญ พรหมวิหาร (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) ผลจากการแยกแยะจิตด้วยสัมมาสติคือการเข้าถึง สมาธิ และเป็น จิตที่มีมรรคแปดเป็นองค์ประกอบ ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุข ความปลอดภัย ความสบาย และความ เกษม (ความหลุดพ้นจากความทุกข์)
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
มีสติ ทุกที่ ทุกเวลา [6841-2m]

- สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง หมายถึงสติต้องมีในทุกที่ ทุกเวลา
- สติมี 2 ประเภทคือ
สัมมาสติ กิเลสลด กุศลเพิ่มมิจฉาสติ กิเลสเพิ่ม อกุศลเพิ่มการมีสติต้องมีทุกที่ทุกเวลาโดยเริ่มจากความเพียร การสังเกต รู้ตัวว่าจิตเรากำลังมีความฟุ้งซ่าน หรือ หดหู่ และเลือกใช้ธรรมะให้เหมาะสม สติจึงจำเป็นตลอดเวลา เพราะต้องปรับจิตให้เกิดสมดุล สติต้องรักษาอยู่ตลอด เปลี่ยนมิจฉาสติให้เป็นสัมมาสติ เกิดสมาธิ อุเบกขา ปีติ วิริยะ ธัมมวิจยะ เกิดปัญญา
-สติ คือสติปัฏฐานสี่ ต้องมีตลอดเวลา
-แตกต่างจากโพชฌงค์ ที่ต้องใช้ให้เหมาะสม ไม่ใช้ตลอดเวลา โดยแบ่งออกเป็น2กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 : ใช้ขณะที่จิตกำลังหดหู่ ซึมเศร้า ไม่ใช้ในขณะที่จิตที่ไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน เพราะยิ่งใส่ลม ใส่ฟืน ไฟก็จะยิ่งโหม ยิ่งฟุ้งซ่าน
1.1 ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือการไตร่ตรองใคร่ครวญธรรมะ คิดตริตรึก ภายในและภายนอก
1.2 วิริยสัมโพชฌงค์ คือ การเร่งความเพียรทางกายและทางจิต การถูกกระตุ้น
1.3 ปีติสัมโพชฌงค์ คือ คนอิ่มเอิบใจ ความร่าเริงบันเทิงใจ ปิติมีสองแบบอามิสและนิรามิส
กลุ่มที่ 2 : ใช้ขณะจิตที่กำลังฟุ้งซ่าน ไม่ใช้ใน จิตที่หดหู่ไม่แช่มชื่น ซึมเศร้า จิตก็จะยิ่งแย่ เหมือนการโรยขี้เถ้าชุ่มน้ำลงไป ใส่ฟืนเปียก หญ้าเปียกลงไป ในไฟกองน้อยๆ
2.1 ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบระงับจากในภายใน ไม่ต้องมีวิตก วิจารณ์
-ความสงบระงับทางกาย
-ความสงบระงับทางจิต
2.2 สมาธิสัมโพชฌงค์ ความที่จิตเป็นหนึ่ง เป็นอารมณ์อันเดียว ในภายใน
-มีวิตก วิจารณ์ คือแบบไม่มีอกุศล
-ไม่มีวิตก วิจารณ์ ว่างๆ
2.3 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สงบจนจิตตั้งมั่นเป็นอย่างดีจนจิตวางเฉยได้ แม้มีสิ่งมากระทบ ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็นตามเป็นจริง
-วางเฉยจากภายนอก
-วางเฉยจากในภายใน
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การคว่ำลงของอวิชชา [6840-2m]

อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นปัญหาหลักและเป็นต้นตอของ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ร่วมกับตัณหา กิเลส และอุปทาน โดยเฉพาะการ ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท อวิชชาปรากฏขึ้นตามปัจจัย และมีอาหารคือนิวรณ์ 5 (วิจิกิจฉา, ง่วงซึม, ฟุ้งซ่าน, โกรธ, พอใจ) ซึ่งเกิดจากการขาดสติและไม่สำรวมอินทรีย์ ทำให้หลงเข้าใจผิดว่าความทุกข์เป็นความสุข ต้องทำให้ วิชชา (ความรู้) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนา สมถะ คือการทำสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลัง ส่วน วิปัสสนา คือการใช้กำลังจิตนั้นพิจารณาเห็นสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ว่า ไม่เที่ยง เมื่อทำสมถะและวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง วิชชาเกิด อวิชชาค่อยๆดับลง เห็นทางออกจากวัฏสงสาร เกิดสัมมาทิฏฐิ มีความเพียร มีสติ และองค์มรรคแปดประการ ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น นำไปสู่การ ดับเย็นแห่งทุกข์ คือ นิพพาน ในที่สุด
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การฝึกจิตอันข่มได้ยาก [6839-2m]

ทำไมต้องฝึกจิตอันข่มได้ยาก เพราะจิตคือสภาวะที่สั่งสมได้ จิตทำหน้าที่ในการรับรู้, วิญญาณ(การรับรู้)คือกิริยาของจิต เป็นคนละอย่างกัน, จิตอยู่ตรงที่การรับรู้เกิด แต่จิตเป็นคนละอย่างกับการรับรู้ และด้วยความที่จิตไปเร็วมากและมักตกในอารมณ์ที่ไม่ดี จึงเกิดการรับรู้ วนเวียนอยู่ในราคะ โทสะ โมหะ เกิดทุกข์ตลอดเวลา จิตจึงเป็นสิ่งที่ข่มได้ยาก หากแต่การฝึกจิต ด้วยสติการสังเกต แยกแยะ “จิต การรับรู้ ความคิด(ธรรมารมณ์) ผ่านช่องทางใจ(มโน)” ว่าเป็นคนละอย่างกัน ให้แยกออกจากกัน เรียกว่าเห็นจิตในจิต ฝึกให้คล่อง จะเห็นความไม่เที่ยงของจิต เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ จิตก็ไม่ใช่เรา “จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้”
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
นัยยะแห่งธาตุหก [6838-2m]

เรายึดมั่นในกาย ในความรู้สึก ว่าเป็นกายเรา เรารู้สึกอย่างนี้ มีเรา มีฉันตลอดเวลา จึงเกิดความทุกข์เพราะยึดมั่น หากแต่ความจริงคือกายและวิญญาณเป็นเพียงธาตุ รู้ด้วยความจริง เห็นด้วยปัญญาว่า ตัวเราเป็นเพียงธาตุทั้งหกที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต เกิดการรับรู้ ทุกอย่างทุกสิ่งไม่ใช่ตัวเรา คลายความยึดมั่นในตัวเราด้วยการเห็นความจริง เราจะคลายความทุกข์ได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ชัยชนะของพุทธศาสนา [6837-2m]

ทุกผัสสะที่เข้ามาคือการต่อสู้ในจิตใจของเรา คือการเข้าสู่สงครามในตน ทำอย่างไรให้ชนะ ต้องชนะด้วยการมีกุศลธรรมเพิ่ม อกุศลธรรมลด และไม่ใช่ชนะแค่ครั้งเดียว แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่เพลี่ยงพล้ำ ต่อสู้กับกิเลสมารทั้งสิบในใจตน ชัยชนะของพุทธศาสนา คือ มีความเพียรเอาชนะอุปสรรค อดทนไม่ลดละ นั่นคือชนะแล้ว ไม่ตอบโต้ต่อการถูกป้ายสีคือชนะ ชนะมิจฉาด้วยสัมมา ชนะความชั่วด้วยความดี ด้วยมรรคมีองค์แปด กุศลธรรมเพิ่ม อกุศลธรรมลด
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
จุดจบของความตาย [6836-2m]

เหตุปัจจัยของความตายมีมาก แต่ความตายไม่ได้หมายถึงการสิ้นชีวิตเท่านั้น หากแต่ความตายยังซ่อนอยู่ในความมีชีวิต พิจารณาให้ละเอียดหยั่งลึกถึงความตายที่ถูกบังไว้ จากการการเปลี่ยนแปลงสภาวะทุกเสี้ยววินาที ที่เกิดจากความไม่เที่ยง ความตั้งอยู่ไม่ได้ ความไม่มีอยู่จริง พิจารณาให้ละเอียดเพื่อความไม่ตายคือการไม่เกิดอีก
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ปัญญาวิปัสสนา [6835-2m]

ธรรมปฏิบัติเรื่อง “ปัญญาวิปัสสนา” โดยพระครูสิทธิปภากร (หลวงพ่อ ดร.สะอาด ฐิโตภาโส) อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าดอนหายโศก จ.อุดรธานี
ฝึกสมาธิให้ชำนาญ จิตที่สงบจากสมาธิ จะมีกำลัง พิจารณาลงที่กายเรา เพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นว่ากายเรานี้ไม่เที่ยง ไม่ควรไปยึดถือ ให้ละ ให้ปล่อยวาง กายเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบขึ้นมา เกิด-ดับไปตามธรรมชาติของเขา วิธีเดียวที่จะพ้นจากการเกิด-ดับ คือ การมีปัญญาเห็นความจริง กายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราควบคุมไม่ได้ พิจารณาให้ปัญญาเกิด เพื่อการไม่เกิดอีก
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
วิธีฝึกหัดใจ [6834-2m]

ใจเป็นใหญ่ ทำดี ทำชั่วทางกาย วาจา เริ่มจากใจทั้งสิ้น ดังนั้น การฝึกใจสำคัญอย่างยิ่ง ฝึกหัดใจตัวเราให้ได้ เริ่มจาก การให้ทาน ละความตระหนี่ รักษาศีล ภาวนาให้จิตสงบมีสมาธิ อบรมฝึกใจให้ได้ ด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า ความดีเกิดขึ้นจากในภายใน กาย-วาจา-ใจเราก็จะดีขึ้น ฝึกหัดใจเราให้พัฒนาดีขึ้น ๆ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พรหมของลูก [6833-2m]

มารดาบิดาคือพรหมของลูก คือผู้ให้ทั้งเมตตากรุณา เป็นบุพการี เป็นผู้อุปการะเราก่อน สิ่งที่เราควรทำคือ ให้เรากตเวทิตา กระทำสิ่งนั้นตอบด้วยการแผ่เมตตาไปยังทุกทิศ ด้วยจิตที่เมตตาไม่มีประมาณต่อกันไป รักษาจิตของเราให้ดี
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การเจริญอนิจจสัญญา [6832-2m]

อยู่อย่างมีสติ มีสมาธิ เห็นทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง ไม่ควรที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่น ปัญญาจะเกิด ว่า ไม่มีอะไรแม้แต่ตัวเรา แม้แต่จิตก็ไม่ใช่เรา เพราะทุกสิ่ง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ควรที่จะยึดถือ มองทุกอย่างอย่างเข้าใจด้วยปัญญาว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง เจริญอนิจจสัญญาตลอดเวลา เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งการหลุดพ้น วางได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมสมาธิ [6831-2m]

แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ด้วยธรรมสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา ด้วยระลึกถึงคุณพุทโธ ธัมโม สังโฆ ตามด้วยการเจริญพรหมวิหารสี่ แล้วพิจารณาปัญหา ปัญหานั้นๆจะค่อยๆถูกแก้ออกด้วยปัญญาที่เกิดจากธรรมสมาธิ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การบูชาไฟ [6830-2m]

มีไฟที่ควรละ สาม ประการ คือ ไฟแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ และไฟที่ควรบูชา สามประการคือ อาหุไนยบุคคล คหบดี ทักขิไณยบุคคล, อาหุไนยบุคคลได้แก่ มารดา บิดา, คหบดี คือคนรอบข้างตัวเรา คู่ครอง ครอบครัว ญาติและ ทักขิไณยบุคคลคือสมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ บูชาด้วยอะไร บูชาด้วยกาย วาจา ใจ ประคับประคองไฟ ทั้งสามประการนี้ เมื่อเราประคับประคองบูชาไฟที่ถูก จิตของเราจะเป็นอารมณ์อันเดียว นี้คือสมาธิ เกิดเป็นสัมมาสมาธิ เมื่อครบองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่าง จิตสว่าง สงบ แม้จิตสงบก็ไม่เที่ยง ไม่ควรที่เราจะไปยึดถือ เห็นด้วยปัญญา วิชชาเกิด, อวิชชาดับ, นิพพานคือความเย็นก็เกิดขึ้น.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ตัดวงจรแห่งทุกข์ [6829-2m]

ทุกข์เกิดจากอะไร และจะดับทุกข์ได้อย่างไร, จะดับทุกข์ต้องดับที่การเกิด, ทำอย่างไรไม่ให้มีการเกิด, ต้องเห็นด้วยปัญญา เกิดความรู้คือ วิชชา รู้ในอริยสัจสี่ ว่าการเกิดเป็นทุกข์, การเกิด เกิดขึ้นได้เพราะจิตมีอวิชชาและการปรุงแต่งให้เกิดวิญญาณและนามรูป จึงเกิดสฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ เกิดทุกข์วนไปวนไป, หากแต่จิตที่สงบ ตั้งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา มรรคมีองค์แปด จะทำให้จิตมีกำลัง พิจารณาใคร่ครวญธรรมให้เกิดปัญญาว่า ต้นตอของการเกิดคือ อวิชชาและสังขารการปรุงแต่ง, ดังนั้นเมื่อปัญญาที่รู้แจ้งเกิด จิตจะปราศจากอวิชชาและการปรุงแต่ง วิญญาณดับ นามรูปดับ สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ก็ดับนั่นคือ ตัดวงจรการเกิด ความทุกข์จึงดับตลอดไป
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ศรัทธาได้ด้วยปัญญา [6828-2m]

ทำอย่างไรให้เรามีศรัทธาที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่ยึดติดในบุคคล แม้บุคคลเปลี่ยนแปลง ศรัทธาที่เกิดจากปัญญาเราก็ยังตั้งมั่นอยู่ได้ ไม่เปลี่ยนแปลงตามบุคคลหรืออื่นๆ, คือให้เรามีความศรัทธายึดมั่นต่อระบบ ศรัทธาต่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า, ศรัทธาจะเกิดขึ้นได้ เริ่มจาก การเห็นทุกข์ “เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม” เลือกออกจากทุกข์ให้ถูกต้อง ด้วยการมีกัลยาณมิตรเพื่อให้ได้ฟังธรรม ศึกษาธรรม แล้วน้อมเข้ามาปฏิบัติ พิจารณาโดยแยบคาย เกิด “โยนิโสมนสิการ” ด้วยตนเอง จึงเกิดปัญญา นั่นคือ เกิดศรัทธาที่ตั้งมั่นต่อพุทโธคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ศรัทธาต่อธัมโมคือนำธรรมเข้ามาสู่ใจ ศรัทธาต่อสังโฆ คือศรัทธาแล้ว ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า, ทั้งสามอย่างนี้ คือ ทุกข์, กัลยาณมิตร และ ปัญญา จะทำให้เรามีศรัทธาที่ตั้งมั่น เหมือนแผ่นดินที่ไม่หวั่นไหว เกิดจากการปฏิบัติของตนเองเพื่อให้เกิดปัญญา คือ “ศรัทธาที่เกิดจากปัญญา” นั่นเอง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ศรัทธาเกิดได้ด้วยปัญญาสาม [6827-2m]

ศรัทธาที่เกิดได้ด้วยปัญญามีอยู่สามระดับ ดังนี้ ปัญญาที่เกิดจากการฟังเรียกว่า สุตมยปัญญา แม้จะเลือกฟังจากผู้เป็นกัลยาณมิตรแต่ศรัทธาในชั้นนี้ยังคลอนแคลนอยู่ อาจกลายเป็นความงมงาย จึงควรเพิ่มปัญญาส่วนที่สอง คือ ปัญญาที่เกิดจากการใคร่ครวญคิดพิจารณาเรียกว่า จินตามยปัญญา มีวิมังสา ตรวจสอบ พิจารณาเหตุผลคือมีมูลราก ก่อให้เกิดศรัทธา ความเชื่อ ความมั่นใจ ความเลื่อมใส ที่มั่นคงกว่าสุตมยปัญญา แต่ก็ยังไม่มั่นคงถึงที่สุด จึงควรเพิ่มปัญญาส่วนที่สาม คือ ปัญญาที่เกิดจากการพัฒนา เห็นแจ้งด้วยตัวเองจริงๆ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ลงมือทำความเพียร สติระลึกถึงแต่สิ่งที่เป็นกุศล เกิดโวสสัคคารมณ์ คือ จิตที่มีการปล่อยวางอารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว เกิดปัญญาขั้นสูงจนไม่ต้องเชื่อตามศาสดาตน เพราะเป็นปัญญาที่เห็นแจ้งด้วยตน ศรัทธาที่เกิดนี้เป็นศรัทธาที่มั่นคง มีมูลรากแล้วลงมือทำ จนเกิดวิชชา เกิดปัญญา จาก “ภาวนามยปัญญา”
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ทางออกจากคุก [6826-2m]

พิจารณาลงมาในกายเริ่มจากด้านนอกไล่เลาะเข้าด้านใน ล้วนประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 มีอายตนะเป็นช่องทาง มีวิญญาณเป็นตัวเชื่อมนามและรูป มีการ lock กันขึ้น มีความเพลินความพอใจมีความยึดถือเกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา ทำให้เมื่อตายยังคงมีการหมุนวนไปในวัฏฏะ จะวนไปเกิดในที่ใดขึ้นกับเหตุปัจจัยที่เข้าไปยึดถือ เปรียบเหมือนการติดคุกติดในวัฏฏะ จะพ้นจากคุกได้ก็ด้วยการปฏิบัติมาตามมรรคแปด ศีล สมาธิ ปัญญา เหตุนี้ควรทำสติและปัญญาให้เกิดจนเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีค่าให้ควรยึดถือ เป็นอนัตตา ทำนิพพานให้แจ้งได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
แยกแยะความคิดเพื่อกำจัดอวิชชา [6825-2m]

ผลกล้วยฆ่าต้นกล้วย ขุยอ้อฆ่าต้นอ้อ ฉันใด เช่นเดียวกัน กิเลสที่จากจิต เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ทำลายตัวจิตนั้นเอง เราจึงจำเป็นต้องรู้ถึงกระบวนการในการแยกแยะสิ่งที่อยู่ในจิตอยู่ในความคิด เพราะความคิดนั้นมีทั้งสัมมาและมิจฉา ไม่ว่าจะถูกหรือผิดไปตามโลก เราควรแยกความคิดที่เกิดในระหว่างวันนั้นว่ามีราคะ โทสะ โมหะแอบแฝงอยู่หรือไม่ ในความคิดนั้นอาจมีมุมที่ซับซ้อนเป็นได้ทั้งสองทาง แยกแยะด้วยสติและความเพียร ปฏิบัติมาตามมรรคแปด เพื่อการปล่อยวางอัตตาตัวตน เพื่อกำจัดอวิชชา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สร้างสติผ่านอปัณณกปฏิปทา [6824-2m]

อปัณณกปฏิปทา 3 คือข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด, ปฏิปทาที่เป็นส่วนแก่นสารเนื้อแท้ ซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติให้ถึงความเจริญงอกงามในธรรม เป็นผู้ดำเนินอยู่ในแนวทางแห่งความปลอดพ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่ผิดพลาด เราสามารถสร้างสติผ่านอปัณณกปฏิปทาสามนี้ได้ โดย
1) มีสติผ่านอินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์ คือระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำใจ เมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง 6 รับรู้แต่ไม่ตามไป จิตสติลมอยู่ด้วยกัน
2) มีสติผ่านโภชเน มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณในการบริโภค รู้จักพิจารณารับประทานอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายใช้ทำกิจให้ชีวิตผาสุก มิใช่เพื่อสนุกสนาน มัวเมา พิจารณาทั้งด้านสุภะและอสุภะ
3) มีสติผ่านชาคริยานุโยค การหมั่นประกอบความตื่น ไม่เห็นแก่นอน คือขยันหมั่นเพียรตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ ชำระจิตมิให้มีนิวรณ์ พร้อมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบัติกิจให้ก้าวหน้าต่อไป
*ที่น่าสังเกตคือทั้งสามข้อนี้ไม่ใช่สมาธิ เป็นส่วนของศีลที่เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด ที่เมื่อทำแล้วเป็นไปมีแต่เจริญโดยท่าเดียว เป็นปัญญาเพื่อละอาสวะและเป็นไปเพื่อความดับเย็น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
อุปสมานุสติเพื่อพิจารณาทุกข์ [6823-2m]

พิจารณาทุกข์ พิจารณาการดับให้เกิดปัญญาได้อย่างไร
อุปสมานุสติคือการระลึกถึงคุณของพระนิพพาน พระนิพพานคือความดับเย็น เพียงเรามีสติ สังเกตการเกิด สังเกตการดับของทุกๆสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะเห็นว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมมีความดับไป เป็นธรรมดา, สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดับ ไม่มี. นั่นคือเราเห็นความไม่เที่ยงในสิ่งนั้นแล้ว เห็นว่าสิ่งนั้นมีความทุกข์ซ่อนอยู่ เกิดปัญญาว่าสิ่งนั้น เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่ควรที่เราจะยึดไว้ เกิดปัญญาแล้วด้วย การยอมรับ เข้าใจสิ่งนั้น.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
คนมีสติย่อมมีความสุข [6822-2m]

สติทำให้เรามีความสุขได้อย่างไร?
ฝึกสติ เริ่มจากจิตจดจ่อที่ลมหายใจ จนจิตตั้งมั่นด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเพียรสัมมาวายามะเป็นฐาน จนเกิดเป็นสัมมาสติ การปรุงแต่งลดลง จึงเกิดขึ้นพร้อมกับสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ และสัมมาสังกัปปะ ไม่พยาบาท เบียดเบียน ความเมตตาเกิดขึ้น เกิดกุศลทั้งทางกาย วาจา ใจ นั่นคือเกิดสัมมาสมาธิแล้ว ความสุขจากในภายในจึงเกิดขึ้น เป็นสุขที่ละเอียดปราณีตอย่างยิ่ง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
วิธีฝึกจิตให้มีกำลังสติ [6821-2m]

ทำอย่างไรให้จิตมีกำลัง และนำไปใช้ประโยชน์ คิดอ่านการงานได้ถูกต้องและแม่นยำ
1) เริ่มจาก ฝึกจิตให้มีสติ โดยใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ จนสติตั้งมั่นดีแล้ว แล้วมีความเพียร ทำอย่างต่อเนื่อง
2) ฝึกให้การปรุงแต่งทางกาย ทางจิต ระงับ ด้วยการ มีสติอย่างมั่นคง ไม่ตามความนึกคิด สังกัปปะ(ดำริ) และ วิตก (ตริตรึก) ที่ผ่านเข้ามา
3) กาม พยาบาท เบียดเบียน ลดลง จึงเกิด ปีติ คือ ความอิ่มใจ สบายใจ จากในภายใน นี่คือ สมาธิขั้นที่สอง
แล้วคงความปีติ นี้ไว้ เพื่อใช้ประโยชน์คิดอ่านการงาน แก้ปัญหาต่างๆ สภาวะจิตเราจะมองโลกตามควาเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง ปล่อยวาง สิ่งต่างๆ ได้ง่ายแม้มีทุกข์ หรือ สุขเข้ามา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สุขในภายใน [6820-2m]

สุขแบบไม่ต้องพึ่งผู้อื่น สุขแบบไม่มีเงื่อนไข ทำอย่างไร
สุขทำได้จากตัวเอง เริ่มจาก ตั้งสติ จากการมีศรัทธา ทำอย่างแน่วแน่ จิตจะระงับลง เป็นอารมณ์อันเดียวนั่นคือ สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้น เกิดศรัทธา ทำจริงต่อเนื่อง เกิด สติ สมาธิ ปัญญา, สร้างวงจรแห่งความสำเร็จด้วยตัวเอง จะเกิดสุขที่เกิดจากในภายใน โดยไม่ต้องขอจากผู้อื่น
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เจริญกายคตาสติผ่านสรีรยนต์ [6819-2m]

พิจารณากายให้เกิดปัญญา เห็นตามความเป็นจริง 1. เปรียบกายเหมือนสรีรยนต์ คือมีจักรสี่ หมุนกงล้อเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เดิน ยืน นั่ง นอน มีช่องไหลเข้า-ออก ทวารเก้า ตลอดเวลา 2. เปรียบกายเหมือนเป็น ไถ้ ถุงที่มีปากเปิด2ด้าน เต็มไปด้วยปฏิกูล 3. เปรียบกายเป็นของอาพาธ เป็นทุกข์ เป็นโรค 4. เปรียบกายเป็นเพียงธาตุ คนแล่เนื้อ แล่ออกมาก็ไม่เหลืออะไร กายเราไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ใช้สติ สมาธิ(กำลัง) ปัญญา(อาวุธที่คม) ตัดลงไปตรงที่มีกิเลส ตัณหา (เพลินพอใจ) อวิชชา พิจารณาซ้ำๆตัดลงไป อวิชชาหายไป เกิด วิชชาได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ธรรมที่ควรพิจารณาอยู่เนือง ๆ [6818-2m]

ธรรม 5 ประการที่เมื่อหมั่นพิจารณาอยู่เนืองนิตย์แล้วจะเป็นไปเพื่อความผาสุก โดยพิจารณาด้วยปัญญาให้เห็นความธรรมดาของธรรมนั้นๆว่าไม่ว่าใครๆก็ต้องเจอด้วยกันทั้งสิ้น ธรรมนั้นคือเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากจากของรักเป็นธรรมดา และเรามีกรรมเป็นของตน เราจักเป็นทายาทของกรรมนั้น ธรรมทั้งห้านี้ควรพิจารณาอยู่เนืองๆ เพื่อให้เกิดนิพพิทาและเป็นเครื่องเตือนสติให้ประกอบกรรมดี ไม่พิรี้พิไรรำพันหรือกังวลต่ออนาคตที่ยังไม่ถึง เป็นไปเพื่อความผาสุกทั้งในปัจจุปันและเมื่อภาวะแห่งทุกข์นั้นปรากฏ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ความเร็วแห่งอายุสังขาร [6817-2m]

พิจารณากายด้วยปัญญาว่ากายเป็นเพียงธาตุสี่ ดินน้ำไฟลม มีเกิด-ตาย-เกิด-ตาย ในกายเรา เป็นกระแสของธาตุสี่ เราจึงเห็นเหมือนเป็นตัวตนของเราขึ้นมา หากแต่ถ้าเรามีจิตสงบที่เริ่มจากสติ จะเกิดสมาธิ จะมีปัญญา เห็นตัวเราว่าไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นเพียงกระแสของการเกิด-ดับ-เกิด-ดับ ตลอดเวลา พิจารณาว่ากายนี้ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัย เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาซ้ำๆ จะเกิดความหน่าย ละวางกายนี้ลงได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ที่พึ่งสุดท้าย [6816-2m]

ตั้งจิตอย่างไร อะไรจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเรา, เมื่อมีสุข ทุกข์ผ่านเข้ามา, แม้ทุกข์ก็ทำให้เกิดกุศลได้ เริ่มจากตั้งจิต ให้ศรัทธาในศีล ปฏิบัติตามธรรมะคือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นคือธัมโม, ลงมือปฏิบัติตามนั่นคือสังโฆ, ปฏิบัติแล้วเกิดความรู้ วิชชานั่นคือพุทโธ, ดังนั้น ที่พึ่งสุดท้ายที่จะเป็นที่พึ่งเราได้ คือพึ่งตน พึ่งธรรม คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การเติบโตของสติศรัทธาและปัญญา [6815-2m]

เจริญธัมมานุสติ นำธรรมมะมาตริตรึกเพื่อให้เกิดปัญญา
ฝึกจิตให้เป็นพืชที่เติบโตได้ คือการสร้างศรัทธาอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม, มีสติเป็นปฏัก ควบคุม การลาก แอก, คันไถ คือปัญญา เพื่อให้ผานขุด เจาะลงไปในดิน, โดยมีน้ำรดพืช คือมีความเพียร, พรวนดินซ้ำๆ ย้ำๆ คือ การบริกรรม พืชก็จะงอกงาม, จิตเราก็จะมีการปรับเสมอๆกันระหว่างศรัทธาและปัญญา, ความเพียรและสมาธิ, มีสติเพิ่มมากยิ่งๆขึ้น จิตก็จะมีกำลังคืออินทรีย์ ในการพิจารณาตริตรึกธรรมะพระพุทธเจ้า ใคร่ครวญซ้ำๆ ก็จะเกิดปัญญา ละอวิชชาได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ชรามรณะเป็นประดุจภูเขา [6814-2m]

เจริญอานาปานสติ มรณสติ อยู่อย่างไม่ประมาท อย่างมีปัญญา ด้วยการสร้างเหตุ ที่จะให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งความเกิด ความแก่ ความตาย นั่นคือดำเนินตามมรรคมีองค์ประเสริฐแปดอย่าง ซึ่งเป็นปฏิปทาเพื่อให้เกิดวิชชา, ในช่วงเวลาที่เหลือ, เราจะอยู่ด้วยการ ประพฤติธรรม ประพฤติสม่ำเสมอ สร้างกุศล บำเพ็ญบุญ, เราก็จะพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ นั่นเอง.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
น้อมจิตตริตรึกทางกุศล [6813-2m]

เราตริตรึกคิดนึกไปทางไหน สิ่งนั้นจะมีกำลัง เราจึงต้องมีสติอยู่กับพุทโธ มีกัลยาณมิตร กัลยาณธรรมเพื่อให้จิต อยู่กับกุศลธรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ อกุศลลดน้อยลง กุศลธรรมเพิ่มขึ้นๆ ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้ในตัวเรา จากคนไม่ดี กลายเป็นคนดี, คนไม่มีปัญญา กลายเป็นคนมีปัญญา, จิตน้อมมาทางธรรม ทางมรรคมีองค์แปด มากขึ้นๆเรื่อย จนถึงที่หมายคือนิพพานได้ จากการที่เราตริตรึกในพุทโธ ในกุศลตลอดเวลา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พุทโธแสงสว่างที่ทำให้พัฒนา [6812-2m]

เจริญพุทธานุสติ เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ว่าเราโชคดีมาก ที่มีโอกาสได้สามสิ่งนี้ คือ
1.การมีพระพุทธเจ้า อุบัติเกิดขึ้นบนโลก
2.การมีคำสอนของพระพุทธเจ้าและยังคงอยู่
3.การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
ถือเป็นความสว่างอย่างใหญ่หลวง ที่พระพุทธเจ้าสร้างแนวทางในการปฏิบัติ คือ มรรค ให้เราเดินทางเพื่อพัฒนาตัวเอง ให้เกิดแสงสว่างส่องเข้าไปในตัวเรา มีสติ ไม่หลง ไม่เพลิน จึงไม่มีอุปาทาน เกิดปีติ ปราโมทย์ จิตนุ่มนวล อ่อนเหมาะควรแก่การงานพัฒนายิ่งๆขึ้นไป ให้เราตั้งศรัทธาในพระพุทธเจ้า
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พิจารณาความจริง [6811-2m]

พิจารณากาย เพื่อให้เห็นตามความจริงว่า ตัวเราประกอบด้วยขันธ์ทั้งห้า, รูป 1 คือกายเราเกิดจากธาตุสี่(ดิน น้ำ ลม ไฟ), นาม 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, โดยมีวิญญาณ(การรับรู้) เป็นตัวเชื่อม รูป-นาม, เกิดสังขาร(ปรุงแต่ง)การรับรู้นั้น, แล้วเกิดเวทนาความพอใจ หรือ ไม่พอใจ, แล้วยึดมั่น ถือมั่น(อุปาทาน)นความเพลิน พอใจ ไม่พอใจนั้น, เกิดตัวตนว่าตนพอใจ ตนไม่พอใจขึ้นมา, เกิดสภาวะ(ภพ) เกิดชาติ เกิดเป็นกระแส เกิด-ดับ เกิด-ดับ ต่อเนื่อง ตลอดเวลา, จิตจึงมีการสะสมตามความเพลินพอใจ ตามอุปาทานที่สะสม สะสมเป็นอาสวะ เกิดเป็นจิตขึ้นมา, จิตคืออาสวะ, พิจารณากายด้วยจิตที่เป็นสมาธิแล้วแยกกายเป็นส่วนหนัง ส่วนเนื้อ อวัยวะ กระดูก เอ็น เลือด ส่วนต่างๆออก จะเห็นว่าไม่มีตัวตนในเรา ไม่มีเราในกายนี้, แม้จิตก็ไม่ใช่ของเราเป็นเพียงการสะสมของอาสวะ, เห็นตามความเป็นจริงแบบนี้ต่อเนื่องๆ จะเข้าถึงความดับเย็นคือนิพพานได้.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ยกระดับจิตด้วยสัมมาสมาธิ [6810-2m]

การจะทำให้เกิดวิชชาคือความรู้ได้ ต้องเริ่มจากการมีสัมมาทิฏฐิ เพื่อพัฒนาจาก อวิชชาที่เป็นส่วนบาป ให้เป็นอวิชชาที่เป็นส่วนบุญ คือให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม มีสติ นั่นคือเกิดสัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาสติ แล้ว
จากนั้นพัฒนาต่อจากอวิชชาที่เป็นส่วนของบุญ ให้เป็นอวิชชาที่เหนือบุญเหนือบาปหรืออาเนญชะ โดยผ่านสัมมาสมาธิ และสัมมาวายามะ ทำอย่างต่อเนื่องๆ,
สัญญา(ความจำได้หมายรู้) จะเปลี่ยนเป็น ญาณ เกิดญาณสามอย่างคือ
1. สัจจญาณ คือรู้อริยสัจสี่: รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค
2. กิจจญาณ คือรู้กิจที่ควรทำในอริยสัจสี่: รอบรู้ทุกข์, ละตัณหา, ทำให้แจ้งในนิโรธ, ทำให้เจริญในมรรค
3. กตญาณ คือ รอบรู้ทุกข์ได้แล้ว ละตัณหาได้แล้ว ทำให้แจ้งในนิโรธได้แล้ว ทำให้เจริญในมรรคได้แล้ว
นั่นคือถึงที่หมายคือนิพพานแล้ว ด้วยสัมมาสมาธิที่มีกำลัง.
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ความสุขสี่ระดับ [6809-2m]

พัฒนาจิตด้วยปัญญา เพิ่มทีละขั้นๆ ด้วยการเห็นโทษ ของฌานสมาธิขั้นที่ได้ และเห็นประโยชน์ของฌานสมาธิขั้นที่สูงกว่า ทำซ้ำ ๆ โดยเริ่มจาก
ฌานที่หนึ่ง ปฐมฌาน จิตสงบ จิต สติ ลมหายใจอยู่ด้วยกันเกิด สมาธิ มีวิตก วิจาร ปีติ สุขจากสมาธิ ละกาม-พยาบาท-เบียดเบียนฌานที่สอง ทุติยฌาน จิตละเอียด เหลือแต่ปีติ สุข ละวิตก วิจารดับฌานที่สาม ตติยฌาน จิตละเอียดยิ่งขึ้น เกิดอุเบกขา และสุขจากอุเบกขานั้นฌานที่สี่ จตุตถฌาน จิตละเอียดยิ่ง ๆ ขึ้นไปเกิดอุเบกขาโดยไม่มีเวทนาใด ๆHosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ฝึกคิดให้เป็นสติสัมปชัญญะ [6808-2m]

ฝึกสติ ตั้งสัมปชัญญะในความคิด โดย นึกถืง ธัมโมไว้ตลอดทุกสถาณการณ์
สถาณการณ์ 1 : ฝึกจิตของเราให้คิดก่อนโดย ให้เราวิตก ตริตรึก(คือความคิดนึก) ถึงการเดินทางใดๆของเรา อาจมีสังกัปปะ และวิตก เกิดขึ้น แต่เรามีธัมโมตลอด นี่คือเกิดสติขั้นพื้นฐาน
สถาณการณ์ 2 : หยุดคิดเรื่องการเดินทาง จิตอยู่กับธัมโม เพื่อฝึกแยกแยะความแตกต่างระหว่าง สังกัปปะหรือดำริ (คือความคิดที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นมาเอง) และ วิตก(คือความคิดนึกตริตรึกที่เราน้อมไปคิด) ไม่ให้ไปคิดนึกตริตรึก ในสังกัปปะที่เกิดขึ้น ฝึกสติเพิ่มขึ้น
สถาณการณ์ 3 : นึกถึงตู้พระไตรปิฎก คือวิตก, นึกต่อให้มีรายละเอียดคือวิจาร(ความตรอง) ของตู้พระไตรปิฎก จิตยังอยู่กับธัมโมตลอด อาจมีความคิดหลายๆอย่างแทรกเข้ามาคือสังกัปปะ และมีวิตก วิจาร แต่จิตยังอยู่กับธัมโม นั่นคือสติมีกำลังเพิ่มแล้ว เพราะมีจุดที่จิตเรากระจายไปในวิตก-วิจาร-สังกัปปะ และแบบไม่มีวิตก-วิจาร-สังกัปปะ แต่ยังมีสติ นี่คือฝึกสติ-สัมปชัญญะ
สถาณการณ์ 4 : นึกถึงตอนเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า สติไม่ลืมธัมโม จิตจดจ่อลงไปในการกราบท่าน ตริตรึก(วิตก) วิจาร, จิตจดจ่อ ไม่กระจายไปคิดเรื่องอื่น สติมีกำลังขึ้น เกิดปีติ สุข แล้วเก็บความรู้สึกเฉพาะปีติ สุขไว้อย่างเดียว นั่นคือ จิตเป็นอารมณ์อันเดียว นั่นคือเป็นสมาธิ จากสติที่มีกำลัง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เจริญอุเบกขาด้วยปัญญา [6807-2m]

อุเบกขา 3 ระดับ เพื่อการปฏิบัติ ทำซ้ำๆ ให้เกิดปัญญา เพิ่มขึ้นๆ อย่างต่อเนื่อง จนหลุดพ้นได้
1. อุเบกขาที่เนื่องด้วย “อามิส” คือ อุเบกขาที่เอากามมาล่อ เพื่อให้มีอุเบกขา เช่น ทานของอร่อย ฟังเพลงแล้วจิตใจสงบ
2. อุเบกขาที่เนื่องด้วย “นิรามิส” คือ อุเบกขาที่เกิดจากสมาธิ ปิติ สุข จากในภายใน ไม่มีกามมาล่อ เกิดจากสติ สมาธิ จดจ่อแล้วเกิดปัญญาเห็นต้นเหตุของทุกข์ คือ ความพอใจ/ไม่พอใจในตนเอง แต่ยังมีตัวตน ว่าฉันมีอุเบกขา
3. อุเบกขา ชนิด “นิรามิสที่ยิ่งกว่านิรามิส” คือ เห็นความไม่เที่ยงของอุเบกขา คลายอุเบกขา เกิดปัญญาขั้นสูงสุด ทำให้ เราละกำจัด ปล่อยวาง อาสวะทั้งหลายได้ คือ ไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีเราในอุเบกขา อุเบกขาไม่มีในเรา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
การสำรวมอินทรีย์ [6806-2m]

อินทรีย์หมายถึง 1. ความเป็นใหญ่ของช่องทางทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 2. ความมีชีวิตมีสติ ป้องกันอกุศลเข้ามา 3. อินทรีย์ห้า (ความเป็นใหญ่ของจิต ที่จิตมีอำนาจ มีกำลังที่จะรู้ธรรมหลุดพ้น)
การสำรวมอินทรีย์ สามารถแก้ต้นเหตุของพฤติกรรมต่างๆ เช่น อารมณ์ร้อน หงุดหงิด ซึมเศร้า โดยเริ่มจากการมีศีลห้าให้ครบเป็นปกติ และระวัง ไม่เผลอ สำรวม ให้มีสติ ไม่ให้เราเพลินพอใจ หรือ ไม่พอใจสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ป้องกัน บาป อกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะทางใจ ไม่เพ่งโทษผู้อื่นและตนเอง สำรวม ระวัง ทั้งทางใจ วาจา กาย, การสำรวมอินทรีย์ จิต จะมีสติ สมาธิ ทำให้เกิดปัญญา อินทรีย์ห้า(ศรัทธา ศีล สติ สมาธิ ปัญญา)เจริญได้นั่นเอง
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เร่งความเพียร จิตตั้งมั่น [6805-2m]

ตั้งสติ ให้จิตตั้งมั่นด้วยการเจริญพุทธานุสติ ประกอบ มรณานุสติ จิตน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้า ไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีคำสอน เร่งความเพียร ให้มีสติ ตั้งจิตให้มีอารมณ์อันเดียว ทำได้ทุกเวลา ตั้งสติจดจ่อ ใน พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไว้ตลอดเวลา
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ยสกุลบุตรตื่นด้วยกายคตาสติ [6804-2m]

การเห็นกายโดยความเป็นของสวยงาม จะทำให้ เพลิน ยินดี จึงยึดถือว่ากายเป็นของเรา เป็นตัวตน จึงต้องพิจารณากาย ให้เห็นว่า กายเป็นโทษ กายไม่สวยงาม จะช่วยละความยึดถือ เห็นกายว่าเป็นกองทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของเรา เห็นตามความเป็นจริง จิตตั้งมั่น พิจารณา จนเกิด ความเบื่อหน่าย คือนิพพิทา จะเกิดปัญญา คลายกำหนัด และปล่อยวางได้
Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.