ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

40 Episodes
Subscribe

By: Mowakee Forest

นำนั่งสมาธิปฏิบัติภาวนา ธรรมบรรยาย ปุจฉา วิสัชนาโดย พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

ถอดรหัส "ขอบเขตการรับรู้ของจิต" Group Sitting 2025-10-19
Yesterday at 7:48 AM

.


สติปัฏฐานคือรูปแบบวิปัสสนานำสมาธิ Group Sitting 2025-10-12
10/13/2025

เมื่อไม่มีตัวตน จิตก็รับรู้ผ่านสัญญา จิตจะรับรู้ผ่านเวทนา

มีเพียงสัญญา เวทนา สังขาร

รักชังก็เป็นตัวสังขาร

รู้อยู่เห็นอยู่ว่านี่คือสัญญานะ นี่คือเวทนา

นี่คือสังขารที่มาปรุงแต่งจิต

นั่นแหละนิยามของคําว่าตัวตนก็ไม่ปรากฏแล้ว

พระพุทธองค์ถึงตรัสพระภาษิตหนึ่งที่เราเคยได้ยิน

ทุกข์มีอยู่ภิกษุทั้งหลาย แต่ผู้เสวยทุกข์หามีไม่

นั่นคือต้องหยั่งลงสู่ความทุกข์ ทุกข์สัจจ

ะและหยั่งลงสู่สมุทัยสัจจะ

นิยามของคําว่า ตัวตน ก็ไม่ปรากฏ

ครอบคลุมทั้งหมด: สุขมีอยู่ผู้เสวยสุขหามีไม่

อทุกขมสุขมีอยู่ ผู้เสวยเวทนานั้นหามีไม่

เพราะเราไปรับรู้ผ่านว่าเป็นเพียงรูปและนามไง

รู้เช่นนี้เห็นเช่นนี้ ตัวตนที่คอยจะดึงจิตรั้งจิต

ไปสู่โลกของอดีตอนาคต

ก็จะเบาบางลง เบาบางลง

สมาธิก็เริ่มเกิดแล้ว นี่คือสัมมาสมาธิละ

"นั่งสมาธิแล้วเห็นอะไร" ชัดเจนนะ

ต่อไปเราจะนิยามให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้เข้ามาบนเส้นทาง

แต่เขามีคําถาม แต่ไม่รู้ว่าถามด้วยวัตถุประสงค์ใด

ทัศนะคติที่ถูกต้องความเห็นที่ถูกต้อง

เราจะต้องเป็นผู้ตอบให้อยู่ในรูปแบบ อยู่ในกรอบของความจริง

อยู่ในทิศทางบนพื้นฐานของสัจจธรรมเท่านั้น

ก็คือทุกข์และเหตุแห่งทุกข์นั้นคือ

ความจริงที่กําลังปรากฏ

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 12-10-2025

https://youtu.be/2_gOWNYANes


นำนั่งสมาธิ Group Sitting 2025-10-05
10/10/2025

เราจะร่วมกันสมาทานจิตว่าใน ๔๐ นาทีนี้

ข้าพเจ้าจะดํารงจิตให้อิสระ

จากการเลือกอารมณ์ คือไม่เลือก

ละเอียดระดับไหน ปราณีตปานใด ไม่เลือก

ไม่เข้าไปสู่มิติของการเลือก

เพียงคําสมาทานตัวนี้ "จักดํารงจิตให้อิสระจากการเลือกอารมณ์"

ความต้องการ แรงปรารถนา เจตจํานง มุ่งหวัง

จะยุติหมดเลย

ความรู้สึกที่จิตเป็นอิสระจากการเลือกอารมณ์

ความรู้สึกจะไปรวมศูนย์ที่กึ่งลางสมอง

มันจะนิ่งอยู่ ณ กึ่งกลางสมองนี่

อะไรนิ่งบ้าง ? ความคิดนิ่ง

ลมหายใจแผ่วเบา ลมหายใจละเอียด

การรับรู้นี้เป็นการรับรู้ผ่านความรู้สึก

รู้สึกจากกึ่งกลางสมอง รู้สึกไปทั่วเรือนกาย

จุดศูนย์รวมของปัจจุบันกาลของการรับรู้ตอนนี้

เมื่อจิตเป็นอิสระจากการเลือกอารมณ์แล้ว

จะรวมศูนย์ของการรับรู้ที่กึ่งกลางสมอง หรือต่อมไพนีล

นี่เป็นอุบายเบื้องต้น

ที่จะทำให้จิตเข้าไปสัมผัสกับมิติที่ปราศจากความคิดความนึก

ปราศจากความขัดแย้ง ปราศจากการแบ่งแยก

ปราศจากความกลัว ความวิตกกังวล

ซึ่งมันมาในรูปของความคิด

มันอาศัยความคิดเป็นแดนเกิด

เมื่อความคิดนึกยุติบทบาทลง

อุปสรรคของสมาธิทั้งหมดจะยุติไปด้วย

สำหรับผู้ปฏิบัติ ที่มีการปฏิบัติอยู่ประจํา

อารมณ์ตกค้างไม่เยอะ

ก็ไม่ต้องใช้อุบายในเบื้องต้น

ให้ตรงไปที่เห็นการเคลื่อน

เห็นการเปลี่ยนแปลง

เห็นการเกิดดับของรูปและนามได้เลย

------

ผู้ใดเห็นการเคลื่อนเห็นการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันขณะ

ผู้นั้นชื่อว่าเห็นซึ่งความเกิดเหตุ ซึ่งความดับ

ของกายเวทนาจิตธรรม

รู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งความเกิดความดับเช่นนี้

อวิชชา ตัณหา อุปาทาน จะไม่เกิดร่วมนะ

โดยเฉพาะ ตัวอภิชฌาและโทมนัส

ที่ร้อยรัดจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์

อารมณ์ที่เคยเห็นเคยได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส

อารมณ์ความคิดนึกจะไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อิงอาศัยนะ

เมื่อผู้ปฏิบัติมาประจักษ์ชัด

กับการเปลี่ยนแปลงของรูป-นาม

ไม่ลืมนะ เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดที่สุดก็นี่แหละ

เห็นการเคลื่อนของลม

ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

จะละเอียด จะเบา จะระงับปานใด

นั่นไม่ใช่ประเด็น

หากว่าเต็มรอบแล้ว มันจะเคลื่อนไปเอง

จากลมยาวเป็นลมสั้น จากลมสั้นเป็นกองลมทั้งปวง

เป็นลมหายใจระงับ

สภาวะธรรมจะเป็นเอง

เราไม่ต้องรอนะ

จะเห็นที่จิตมันเคลื่อนเข้าไปสู่ความสงบระงับไม่ได้เนี่ย

เพราะตัวที่ไม่เห็นซึ่งความเกิด ความดับ

เมื่อเห็นแล้ว อุปสรรคทั้งหลายจะสลายไป

อภิชฌาและโทมนัส ที่มันเคยเกิดแล้ว ร้อยรัดจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์จะสลายไปหมดเลย

พระองค์ท่านนิยามว่าย่อมกําจัดเสียซึ่งอภิชฌาและโทมนัส

ความรักและความชัง ความชอบและไม่ชอบในอารมณ์

"ย่อมกําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้"

ในโลกของการเห็น โลกของการได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสสัมผัส

โลกของความคิดนึก


ปิยทัสสี ภิกขุ

Group Sitting 2025-10-05


ยุคสมัยแห่งการบรรลุธรรม Group Sitting 2025-09-28
10/07/2025

เมื่อใดที่พันธนาการความเคยชิน

การเลือกอารมณ์ แรงปรารถนา

เหล่านี้ได้ยุติบทบาทลง

จะยุติได้ต่อเมื่อจิตต้องน้อมสภาวะธรรมนั้น การรับรู้ทั้งหมดนั้น

รวมลงสู่ไตรลักษณ์เท่านั้น

อย่างใดอย่างหนึ่งนะ

ถ้าไม่น้อมลง ไม่เห็นสัจจะความเป็นจริง จิตก็อยู่กับสิ่งที่ไม่จริง

จิตก็จะอยู่กับสภาวะที่มันปรุงแต่งขึ้นมา

เอาอะไรมาปรุงแต่งล่ะ

เอาความเชื่อเอาลัทธิศาสนา

เอาความสัมพันธ์ เอาความรักความชัง

เอาความสุขความทุกข์นั้น

มาปรุงแต่งเป็นความเคยชิน

พอน้อมลงในไตรลักษณ์

ก็จะปลดเปลื้องความเคยชินทั้งหมด พันธนาการทั้งหมด

เมื่อนั่นแหละตัวปราโมทย์ความอิ่มเอมจะปรากฏ

นี่เป็นสิ่งที่จะฝากต่อผู้ปฏิบัติ ที่เป็นผู้แสวงหา

ไม่จําเป็นว่าการน้อมลงในไตรลักษณ์จะต้องอยู่ในรูปแบบของการนั่งสมาธิเดินจงกรมเท่านั้น ไม่นะ

"การน้อมลงในไตรลักษณ์"ในชีวิตประจําวันจะปกป้องเรา

ไม่ให้จิตไปอยู่ในพื้นที่ของการปรุงแต่ง

เพราะปรุงแต่งเมื่อใดก็ถูกร้อยรัดเมื่อนั้น

ปล่อยให้ถูกร้อยรัดแล้ว จะมานั่งมาเดินเพื่อคลายสิ่งร้อยรัด

เราทําอะไรอยู่


ปิยทัสสี ภิกขุ

เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรม วัดถ้ำดอยโตน



ผู้มีความเพลิน ย่อมประสบทุกข์ Group Sitting 2025-09-21
09/29/2025

มีพระสูตรที่อ้างอิงเกี่ยวกับความเบื่อ

สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ได้นั่งประทับอยู่โดยลําพัง

เทวดามาทูลถามพระองค์ว่า

พระองค์นั้นไม่มีความทุกข์ พระองค์ไม่มีความเพลิน

พระองค์ประทับอยู่ผู้เดียว พระองค์ท่านรู้สึกเบื่อหน่ายบ้างไหม

พระองค์ตอบว่า

"ผู้มีความเพลินย่อมมีความทุกข์" ​ นัยยะจะเป็นแบบนี้นะ

แต่ผู้ที่พ้นจากทุกข์ไม่ได้ ​ เผชิญพัวพันอยู่ในทุกข์

ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย

ผู้มีความเพลินย่อมประสบกับความทุกข์ในเหตุและผลเป็นแบบนี้

โดยสภาวธรรมเอาง่ายง่ายนะ ความเพลินคือตัวอภิชฌา

ที่แสวงหาการเติมเต็มให้กับชีวิต ตลอดเวลา

ตัวความเพลินมันไปเพ่งอารมณ์ ​

มันปรารถนาอารมณ์ เมื่อได้แล้ว

สุขสมหวังหนึ่งใดปรากฏแล้ว มันมีความเพลิน

เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ต้้งแห่งความสุขได้เปลี่ยนแปลงไป

เคลื่อนไป จากไป ทุกขเวทนาก็ปรากฏ

ทุกขเวทนาคือโทมนัส ​ ​ ​

อภิชฌาและโทมนัสได้ครอบงําจิตดวงนั้นแล้ว

ผู้มีความเพลินย่อมประสบทุกข์ ​

เราทราบนะว่าความเพลินนั้นเกิดขึ้นนัยยะแบบไหน

มันจะจินตนาการความเพลินมา เพราะมันประกอบกับความคิด

ความเพลินกับปิติปราโมทย์ คนละอย่างกัน ​

"ปราโมทย์ปีติ" เป็นสภาวะที่ได้กระจ่างชัด

ได้อิสระจากอารมณ์ จากประสบการณ์ที่เคยรู้ ​

เป็นสภาวะของปัจจุบันกาล ที่จิตไปตั้งอยู่

แต่เมื่อจิตประกอบกับความเพลิน

ให้สังเกตนะว่าจะประกอบกับความคิด

ประกอบกับการเพ่งในอารมณ์

จิตที่ประกอบด้วยความเพลิน ย่อมประสบทุกข์

จิตที่ประสบทุกข์แล้วย่อมเกิดความเบื่อหน่าย

บทสรุปคําตอบของพระองค์ท่านก็คือ

เมื่อพระองค์ท่านไม่มีความเพลิน พระองค์ท่านก็ไม่มีความทุกข์

เมื่อพระองค์ท่านไม่ทุกข์ พระองค์ท่านก็ไม่มีความเบื่อหน่าย

ขอเทวะท่านจงรู้แบบนี้

เห็นแบบนี้ เข้าใจแบบนี้

"ผู้มีความเพลินย่อมประสบทุกข์"

- ปิยทัสสี ภิกขุ -

Group Sitting 21-09-2025


ความคิดในกรอบ เป็นอุปสรรคปิดกั้นสมาธิ Group Sitting 2025-08-31
09/27/2025

เริ่มต้นเราเอาความรู้สึกที่ปลายลิ้นเป็นหลัก

ส่วนความรู้สึกที่ไปเชื่อมโยงกับกึ่งกลางสมอง

หรือความรู้สึก ณ จุดที่ฟันบนและล่างสัมผัสกัน

ก็รู้อยู่ แต่ไม่เพ่ง รู้แบบเผินๆ

จุดที่เพ่งเพียรนี่

เพ่งความรู้สึกที่จุดปลายลิ้น

เมื่อความคิดนึกไม่เกิด ไม่ผุดขึ้นมา

ก็ไม่มีการเทียบเคียง

ไม่มีจุดอ้างอิง ไม่มีกรอบ

เรียกว่าการรับรู้ที่ไม่มีกรอบ

ที่จิตฟุ้งซ่าน เพราะจิตคิดอยู่ในกรอบ จิตไม่มีสมาธิ

จิตเสพติดกรอบที่สมาทานในชีวิตประจําวันนะ

มันเสพคุ้น มันคุ้นเคย

กรอบของความเชื่อ กรอบของความรู้

กรอบของลัทธิศาสนาประเพณี

กรอบของความสัมพันธ์

จิตที่มีอวิชชาหลงเอากรอบเหล่านี้มาเป็นที่ตั้ง

มาปรุงแต่งว่ามีตัวตนอยู่ในความเชื่อในความสัมพันธ์

ในความสุขทุกข์ ในความรักชัง

เรียกว่าอยู่ในกรอบของตัวตน กรอบของความสัมพันธ์

สมาธินั้นคือจิตที่รับรู้ ที่อยู่นอกกรอบแล้ว

เป็นอิสระจากกรอบแล้ว

เมื่อใด ที่จิตมาเป็นหนึ่งเดียวกับปัจจุบันกาล

กับปัจจุบันขณะ

จะมีมั้ย ความเชื่อลัทธิศาสนา

ความสัมพันธ์รักชัง มันไม่มี

มีแต่ความรู้สึกที่เป็นอิสระ

ขณะนี้ เดี๋ยวนี้

"ความคิดในกรอบเป็นอุปสรรคปิดกั้นสมาธิ"

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 31-08-2025

​- - - - - - -


อีกนัยยะหนึ่งคือ จิตไปพัวพันในโลกอนาคต

โลกอนาคต ก็คือการเติมเต็มให้กับตัวตนที่ยังพร่อง


หากมองย้อนไปในประสบการณ์อดีตที่ผ่านมา

มันไม่มีหรอกนะตัวตนที่สมบูรณ์

ที่ไม่อาศัยการเติมเต็ม


ที่มันทะยานไปข้างหน้า

มีความปรารถนามีความหวัง

นั่นคือกําลังเติมเต็มให้กับตัวตน

ที่ "ยังไม่เต็ม"


ปิยทัสสี ภิกขุ

Group Sitting 31-08-2025

https://youtu.be/ks5xPWJcboQ




ฉลาดในการเข้าสมาธิ ฉลาดในองค์ประกอบสมาธิ Group Sitting 2025-08-17
09/21/2025

"อธิษฐานได้ดังปรารถนาคือผู้สมบูรณ์ในสมาธิ"

..

ผู้ได้ฌานบางคนในโลกนี้มี ๔ จําพวก

ประเภทที่หนึ่ง เป็นผู้ฉลาดในการเข้าสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ

ก่อนที่จะไปถึงในอีกบุคคล ๓ ประเภท

เราต้องทําความเข้าใจ ฉลาดในการเข้าสมาธิและฉลาดในสมาธิ

คำว่าฉลาดคือเป็นผู้มีปัญญา กระจ่างชัดแจ่มแจ้ง

เราจะมีอุบายไหนบ้างที่จะไปเกื้อกูลในการเข้าสมาธิ

ให้เข้าสมาธิได้ง่าย ได้ดังปรารถนา

นี้คือการเป็นผู้รอบรู้ เป็นผู้มีทักษะ มีองค์ความรู้

ว่าจะเข้าสมาธิยังไงให้เข้าได้ง่ายที่สุดเร็วที่สุด

เรียกว่ามีทักษะ มีวสีมีความชํานาญ ​ ​

อีกตัวนึงก็คือเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ ปัญญามาอีกละ

ก่อนจะเข้าสมาธิก็ต้องเป็นผู้ฉลาด คือมีปัญญารู้อุบายวิธี

ที่จะเข้าถึงบรรลุถึงฌานจิต เมื่อเข้าไปอยู่ในฌานจิตแล้ว

ความฉลาดนี้ตัวปัญญาก็ยังตามไปอยู่

คือปัญญาที่เราได้อ่านในฌานสูตร

ที่พระองค์ท่านตรัสว่าบุคคลผู้ดํารงจิตอยู่ในรูปฌานทั้ง ๔

ย่อมเห็นซึ่งความเกิดความดับ เห็นความไม่เที่ยง

เห็นความแปรปรวนเห็นความเปลี่ยนแปลง

ในรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็คือในขันธ์ทั้ง ๕

ส่วนผู้ที่ดํารงจิตอยู่ในอรูปฌาน หรืออรูปสัญญา ๓ ขั้นเบื้องต้น

ย่อมเป็นผู้เห็นการเปลี่ยนแปลงเห็นความไม่เที่ยง

เห็นการเกิดดับของเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็คือขันธ์ทั้ง ๔

ซึ่งความฉลาดอันนี้ก็คือตัวปัญญา เราในฐานะเป็นผู้ปฏิบัตินะ

ได้ยินได้ฟังมามากในสื่อได้อ่านมามากจากตำหรับตํารา

คุรุอาจารย์รุ่นหลังนี่ถือว่าเป็น อรรถกถา

เราคงเคยได้ยินในโวหารหรือในคําที่มีผู้แสดงทัศนคติว่า

เมื่อจิตดํารงอยู่ในฌานจะไม่สามารถพิจารณากฎแห่งไตรลักษณ์ได้

จะต้องถอนจิตออกจากสมาธิออก จากฌานนั้นก่อน

อันนี้เป็นองค์ความรู้เป็นทัศนคติ เป็นความเห็นของของคุรุอาจารย์รุ่นหลังนี่เอง

แต่จริงแล้วพระพุทธองค์ท่านไม่ได้ตรัสแบบนั้นนะ

อยู่ในฌานจิตนั่นแหละย่อมเห็นซึ่งความเกิด เห็นซึ่งความดับ

เห็นความเป็นอนิจจังของขันธ์ทั้ง ๕

ไม่ต้องถอนจิตออกจากฌานจิต จากสมาธิเลยนะ

คำว่าฉลาด หมายถึงปัญญา เมื่อเข้าสมาธิแล้วถ้าเห็นซึ่งความเกิดความดับ

เห็นกฎแห่งความไม่เที่ยง เห็นกฏแห่งความเป็นอนิจจัง

ของไตรลักษณ์ในขันธ์ทั้ง ๕

ในขณะที่อยู่ในรูปฌานทั้ง ๔ นี้คือความเป็นผู้ฉลาดในสมาธิ

หรือเห็นการเกิดการดับเห็นการเปลี่ยนแปลงของขันทั้ง ๔

เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ในอรูปสัญญา ๓ ขั้นเบื้องต้น



ปิยทัสสี ภิกขุ

Group Sitting 17-08-2025



กลับสู่ต้นธารชีวิต Group Sitting 2025-08-10
08/27/2025

สายธารความสืบต่อระหว่างความเกิดและความดับนี้สิ้นสุด

ปัจจุบันกาลก็ถึงวาระดับมอดดับสิ้นสุดลง​

เมื่อกาลดับ เวลาดับ

รูปและนามก็ไม่มีที่อิงอาศัย ดับมอดไปพร้อมกับกาลเวลา

จิตก็ลุถึงสภาวะที่ไม่ประกอบด้วยกาล คืออกาลิโก

คือพระนิพพาน จะเป็นนัยยะแบบนี้นะ

เราฝึกปฏิบัติไม่ว่าสมาธิ หรือวิปัสสนา

วัตถุประสงค์เพื่อให้เรามาเข้าถึงต้นทางของเวลา

ต้นทางของชีวิต ต้นทางของรูปและนาม

ก็คือปัจจุบันกาล ขณะนี้เดี๋ยวนี้

เห็นความจริง อยู่กับความจริง

แจ่มแจ้งกับความจริงตัวนี้

ภาระที่เราเคยแบกมานาน ที่มันแบกไว้

โลกเสมือนจริงที่มันรักษาไว้ ประคองไว้ ยึดไว้ จะสลายหมดนะ

เมื่อจิตได้เข้ามาสู่พื้นที่ของปัจจุบันกาลแล้ว

สะสมมามากเท่าไหร่ดับหมด ไม่มีอะไรตั้งอยู่

อวิชชา ตัณหา อุปาทานดับมอดหมด

เพียงแต่ว่าเป็นการดับที่ยังไม่สิ้นเชิง ยังไม่เป็นสมุจเฉท

เป็นการดับด้วยกําลังของตัวปัญญา

ขณะใดที่ปัญญาเกิด ปัญญาปรากฏ มันแจ่มแจ้ง ​

อวิชชา ตัณหาอุปาทานก็ดับไป

ดับยาวขึ้นมาอีก ขยายเวลาการดับออกไปอีก

ก็เป็นการดับด้วยพลังของสมาธิ พลังของฌานจิต

ที่ดับเป็นสมุจเฉทะ ดับโดยสิ้นเชิงถอนรากถอนโคน

ก็คือดับด้วยมัคคญาณ

ซึ่งมี ๔ มัคคด้วยกัน อย่างที่เราเคยรู้ไปได้ยินได้ฟังมานะ

องค์ความรู้ทั้งหมด อุบายวิธีทั้งหมด

ในการเดินบนเส้นทางของการภาวนา

ก็คือเพื่อเข้ามาสู่ต้นทางของชีวิต

ก็คือต้นธารของเวลา

ขณะนี้ เดี๋ยวนี้

-- ปิยทัสสี ภิกขุ --

"กลับสู่ต้นธารของชีวิต"

Group Sitting 10-08-2025

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

https://youtu.be/XBw80PpdXe0


วันเวลาที่เผ่าพันธ์มนุษย์เพรียกหาสันติภาพ Group Sitting 2025-08-03
08/27/2025

มนุษย์ - ​ วิทยาศาสตร์ได้เจาะลึกไปถึงความไม่มีตัวตนของชีวิตของคน แท้ที่จริงมันไม่มีนะตัวตน องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทางกายภาพการแพทย์ ได้เจาะลึกไปถึงโครงสร้างของเซลล์ของโมเลกุลของอะตอม เลยอะตอมเข้าไปอีก เป็นควาร์กเป็นโลกของควอนตัม อันมีแต่เพียงพลังงานที่เคลื่อนอยู่ เต้นอยู่ แดนซ์อยู่ ไม่มีสิ่งใดเลย เอ๊ะ ! ถ้าว่าองค์ความรู้ไปได้ถึงระดับนั้น แล้วทําไมมนุษย์ถึงยังแสวงหาสันติภาพไม่ได้​องค์ความรู้เหล่านี้เป็นองค์ความรู้ที่ไม่ได้ผ่านทางจิตโดยตรงนะ แต่ผ่านทางเครื่องมือ เมื่อใดที่ออกจากห้องทดลองปุ๊บเนี่ย องค์ความรู้ว่ามีเพียงเซลล์ มีเพียงโมเลกุล มีเพียงอะตอม ก็ไม่มีอีกแล้ว องค์ความรู้เหล่านั้น การรับรู้แบบนั้นไม่มี แล้วมีอะไรมาแทนล่ะ ก็"ตัวฉัน"นี่ไง สายเลือดของฉัน ครอบครัวของฉันประเทศของฉัน นี่ไงจิตมันหมกมุ่นอยู่กับ pattern กับรูปแบบ กับโครงสร้างของตัวตน ​แน่นอนทีเดียว รูปแบบแบบนั้นได้นํามาซึ่งความกลัว ความหวั่นไหว ความขัดแย้ง และนี่ก็เป็นคําตอบว่า ​ เอ๊ะ ! องค์ความรู้ของมนุษย์ไปลึกถึงระดับนั้น แล้วสันติภาพทําไมช่างห่างไกลเหลือเกิน ​องค์ความรู้ที่มนุษย์เข้าไปถึง มิได้ผ่านจากตัวจิตจากความรู้สึกโดยตรง พอออกจากห้องทดลอง ตัวฉันของฉัน ก็มาครอบงําหมดแล้วคนที่ภาวนาเป็นนะ เข้าไปเห็น เข้าไปสัมผัส กับความนิ่ง ความเบา กับสันติ สันติภาพจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อความรุนแรง ความขัดแย้ง การแบ่งแยก ความกลัว ความหวั่นไหวได้ยุติลงนะ ถ้ายังไม่ยุติ ความสงบสันติภายในจะเกิดขึ้นไม่ได้ ​-- ปิยทัสสี ภิกขุ --​"วันเวลาที่เผ่าพันธ์มนุษย์เพรียกหาสันติภาพ"Group Sitting 03-08-2025ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตนเพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน​https://youtu.be/fVb_Rs2odQk


ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต Group Sitting 2025-07-27
08/22/2025

มีผู้สนใจในการปฏิบัติส่งคำถามว่า :

การเคลื่อนไหวในสื่อทุกวันนี้ พระอาจารย์คิดเห็นอย่างไร

เพื่อจะไม่ให้จิตของผู้ที่ยังมีอินทรีย์อ่อน

จะได้ไม่ต้องไปเสพอยู่กับสื่อที่ทําให้จิตต้องเศร้าหมอง

ก็บอกว่า :

เมื่อสถานการณ์มันเกิดขึ้นนะ วิกฤติมันเกิดขึ้น เขาบอกว่าวิกฤตไม่ใช่ความเลวร้าย

วิกฤตไม่ใช่เป็นการปิดโอกาส ​ ความหมายรากศัพท์จริง ๆ หมายถึงว่าเปิดโอกาสใหม่

เหมือนกับเส้นทางที่เราเคยเดินมาชั่วนาตาปี ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติก็เดินมาอย่างนี้

มาถึงจุด ๆ หนึ่งเส้นทางที่เราเดินไปถึงหน้าผาสูงชัน เหวลึกมากมองไม่เห็นข้างล่างเลย

นั่นล่ะเขาเรียกว่าวิกฤตเดินต่อไม่ได้ เดินกลับก็กลับไม่ได้แล้ว

เหมือนสิทธัตถะเกิดวิกฤตครั้งแรก ที่พระองค์ท่านแจ่มแจ้งกับเห็นเทวทูตทั้ง ๔

อยู่ไม่ได้แล้วในวัง วิกฤตอันนี้มันยิ่งใหญ่มาก

นั่นก็เลยทําให้พระองค์ท่านเปลี่ยนเส้นทาง

คือเดินตรงต่อไปไม่ได้แล้วมันตกหน้าผาแน่นอน

ความตายไม่ซ้ายก็ขวาละ กลับมาที่เดิมก็ไม่ได้อีก

แล้วพระองค์ท่านก็มาพบกับวิกฤตอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากทรงทดลองใช้อัตตกิลมถานุโยคทรมานพระวรกาย

หน้าผาอีกแล้ว เผชิญวิกฤตอีกแล้ว

เส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับได้ไปต่อนี่ตายแน่นอน เอ๊ะแล้วยังไงอ่ะ

ญาณทัศนะองค์ความรู้ที่ผุดขึ้นมาว่าจะต้องอาศัยฌานจิต

อาศัยปีติและสุขที่เคยมีประสบการณ์ อันเคยได้สัมผัสแล้ว

แล้วสภาวะแบบนั้นน่ะ จะสัมผัสได้ยังไงในขณะที่กายนี่มันยังหิวโหยอยู่

สภาพของร่างกายที่เป็นอยู่แบบนี้ จิตจะไปสัมผัสกับสภาวะแบบนั้นไม่ได้

มีแต่ทุกขเวทนา ! โอกาสใหม่มาแล้ว

วิกฤตนี้หมายถึงมันจะเปิดมุมมองใหม่ อะไรใหม่ที่มันใช่

นั่นหมายถึงที่เราไปนิยามว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ วิกฤตเกิดขึ้นแล้วจะพึ่งอะไร

ตามจอตามสื่อมีแต่เรื่องเศร้าหมอง ไปไม่เป็น วิกฤติมันเกิดแล้ว

จะต้องมีองค์ความรู้ที่มาประสิทธิ์ประสาทตัวเองมากกว่านี้สิ

องค์องค์ความรู้ของพุทธะ

มิใช่ว่าเมื่อได้ยินได้ฟังมาแล้ว มิได้ตระหนักว่าสมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร

การเกิดการดับคืออะไร อุปทานคืออะไร ตัณหาคืออะไร ก็ยังไม่รู้

เราเอาตัวตนของเราไปฝากฝังไว้กับความเชื่อกับบุคคลหนึ่ง

เมื่อความเชื่อในรูปแบบแบบนั้นพังทลาย ไปต่อไม่ได้ ตัวตนก็หวั่นไหวใช่ไหม

นิยามว่าเราเป็นใครล่ะ มีความสัมพันธ์ระหว่างเรากับรูปแบบอะไรสักอย่างหรือเปล่า

มาถึงตรงนี้แล้วก็สะท้อนได้ว่า เราไม่มีที่พึ่งนะ

เราพึ่งบุคคลหรือเปล่า เราใส่ใจกับคําสอนที่พระองค์ท่านตรัสว่า

ผู้ใดเห็นธรรมพวกนั้นเห็นเราไหม ผู้ใดเคารพธรรมผู้นั้นก็เคารพพุทธะ

จงให้ความสําคัญกับธรรมะ จงแจ่มแจ้งกับกฏแห่งความเป็นจริง ​

โดยข้ามพ้นเรื่องบุคคลเรื่องตัวตนเรื่องรูปแบบ

ตัวตนบุคคล รูปแบบ จารีตเหล่านั้น นํามาซึ่งคําว่าศาสนา

นำมาซึ่งความเชื่อประเพณี ที่หล่อหลอมมาเป็นอัตลักษณ์ตัวตน แต่ละมุมของโลกใบนี้

มีสัญลักษณ์มั้ยน่ะ ธรรมะ ?

เราก็เข้าใจชัดกัน เมื่อกี้มันเกิดมันดับ ไหนล่ะสัญลักษณ์ ?

ปรากฏเพียงชั่วขณะก็ดับไป ไหนล่ะศาสนา ไหนล่ะบุคคล ไหนล่ะรูปแบบ

ยากไหม กับความจริงที่กําลังปรากฏ ! ท้าทายมาก

ท้าทายต่อการพิสูจน์ว่า ท่านทั้งหลายจงมาดูเถิดสิ่งมหัศจรรย์

ดูแล้วดําเนินไปแล้ว ก็จะเกิดความมหัศจรรย์ ทุ


สายธารแห่งการสืบต่อของสิ่งใหม่ คือนิยามของ สมาธิ Grop Sitting 2025-06-29
07/01/2025

. . ตราบใดที่จิต

ยังเห็นความสืบต่อของปัจจุบันกาล

เห็นความสืบต่อของ กาย เวทนา จิต ธรรม

ประจักษ์ชัดกับการเคลื่อนของลมหายใจ

เข้าไปขณะเดียวใช่ไหม สลายไป

ขณะใหม่ของลมใหม่ก็มาแทนที่ สลายไป

"ในปัจจุบันกาล"

การสืบต่อของรูปและนาม

จะเป็นสภาวะที่ใหม่อยู่เสมอนะ

มันปรากฏอยู่เพียงชั่วขณะเดียว

แค่นั้นเองแล้วสลายไป

ขณะใหม่ของรูปและนามก็มาแทนที่

การสืบต่อของสิ่งใหม่

จะดําเนินอยู่ แสดงสถานะอยู่

"ในปัจจุบันกาล"นี้

ชีวิตใหม่ . . การรับรู้ก็ใหม่ !

ที่จิตมันฟุ้งซ่านน่ะ

เพราะมันถูกร้อยรัดไปในโลกของตัวตน

นั่นแสดงว่าจิตไปหมกมุ่น ไปพัวพัน

ไปให้ค่า ไปให้ความสําคัญ

กับความสืบต่อของสิ่งเก่า ไม่ใช่สิ่งใหม่

สิ่งเก่าก็คืออะไร ​ !

"สัญญาภาพ" ​ ที่ไปจับเอารูปที่เคยเห็น

เสียงที่เคยได้ยิน กลิ่น ลิ้มรส(ที่เคยได้)สัมผัส

ไปมั่นหมายว่ามีตัวตน มีประสบการณ์

ทั้งทั้งที่มันผ่านไปแล้วนะ

ก็เข้าใจผิด ดําริผิดว่ามีสิ่งนั้นอยู่

มีตัวตนอยู่ มีปรากฏการณ์นั้นอยู่

มีความสุข และทุกข์อยู่

มีความรักและความชัง

อิงอาศัยอารมณ์อันนั้น

เรียกว่าจิตได้หมกมุ่นอยู่

กับการสืบต่อของสิ่งเก่า

-- ปิยทัสสี ภิกขุ --

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 29-06-2025


https://youtu.be/DgsCG3yjmTY


พลังแห่งจิตอธิษฐาน Group Sitting 2025-06-22
06/25/2025

ช่วงที่พระอาจารย์เข้ากรรมฐาน

ปฏิบัติส่วนตัว ๗ วัน

มีอุบายมาฝากผู้ปฏิบัตินะ

เป็นอุบายที่ทําให้ระบบสมองและระบบจิต

เข้าไปสู่ความเป็นกลางได้เร็ว

โดยธรรมชาติจิตในโลกิยะ

จิตที่มีอวิชชาอยู่จะถูกตัณหาอุปาทานเข้าครอบงํา

คือ "จิตถูกโปรแกรมด้วยเหตุแห่งทุกข์"

ด้วยแรงตัณหาอุปาทาน

ด้วยแรงปรารถนา ด้วยความกลัว ด้วยความกังวล

อันนํามาซึ่งความทุกข์ นํามาซึ่งความขัดแย้ง

นํามาซึ่งความสับสน

จิตจึงถูกโปรแกรมโดยเราไม่รู้ตัวกันนะ

ทําให้ไหลไปกับอารมณ์ที่พึงพอใจ ​ ไม่พึงพอใจ

หมกมุ่นอยู่กับความกังวล ความขัดแย้ง

เอ๊ะ ! ทําไมถึงชอบหมกมุ่นอยู่อย่างนั้น

นั่นล่ะเรียกว่าถูกโปรแกรมแล้ว

เมื่อจิตถูกโปรแกรม กระบวนการของสมอง

คือกระบวนการความคิด

ก็จะตอบสนอง !

พระอาจารย์มีอุบายวิธีง่าย ๆ

เราจะรีเซ็ตให้ระบบสมอง

เข้าไปสู่ความเป็นกลางระหว่างธาตุคู่

รีเซ็ตจิตให้เข้าไปสู่ความเป็นกลางของธาตุคู่

ด้วยพลังเเห่งสัจจาธิษฐาน

หรือว่าพลังจากการอธิษฐาน

เป็นการโปรแกรมจิตใหม่

โดยการโปรแกรมแบบนี้

จะไปยกเลิกสิ่งที่จิตถูกโปรแกรมไว้ทั้งหมดเลย

ไม่ต้องมีพิธีรีตอง

"สมองจงพักเถิด"

"จิตจงพักเถิด"

การอธิษฐานแบบนี้

จะทำให้จิตเข้าไปสู่ความเป็นกลางได้เร็วมาก

จิตจะนิ่งอยู่ตรงกลาง ไม่กวัดแกว่ง

มิใช่เป็นการสะกดจิต

เป็นพลังจิตเดิมแท้ ให้จิตได้ปกป้องตัวเอง

ให้จิตได้ปลดเปลื้องตัวเอง ให้หลุดพ้นจากพันธนาการ

-- ปิยทัสสี ภิกขุ --

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 22-06-2025


การสิ้นสุดลง ของความสืบต่อจากประสบการ์ณทั้งปวง คือนิยามของสมาธิ Group Sitting 2025-06-01
06/15/2025

ชีวิตรูปและนามคือความสืบต่อ

ชีวิตในอดีตก็เป็นความสืบต่อของสัญญา

ในสัญญานั้นมีเวทนาไหม.. มี

ในสัญญานั้นมีความรัก มีความชัง

พอใจไม่พอใจ ชอบไม่ชอบไหม ซึ่งเป็นตัวสังขาร..มี

เบื้องต้นให้เราเห็น

หากว่าความคิดความนึกความสืบต่อของอดีตของกาล

ของสัญญาภาพผุดขึ้นมาในรูปของความคิด

เราไม่สามารถที่จะพรากจิตออกจากความคิดนั้นได้เลย

ตราบใดที่ เรายังมองความคิด

มองประสบการณ์นั้น "ผ่านตัวตน"

ต้องมองผ่านว่า ไม่มีตัวตน

ไร้สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

แล้วจะมองยังไง ไม่มองผ่านตัวตน

เป็นเพียงสัญญาภาพนะ เป็นเพียงเวลาอดีต

เป็นอารมณ์ที่ เนื่องด้วยอดีต

เขาเรียกว่าอตีตารมฺมณา ธมฺมา

เมื่อใดที่เรามองอดีตว่า เป็นเพียงเรื่องของเวลา

ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้มันเป็นเรื่องเวลาจริง ๆ

แต่จิตที่มีอวิชชาชอบเอาเวลามาปรุงเเต่ง

มีตัวมีตนมีรัก ความรักความชัง ที่ผ่านไปแล้ว

แทนที่จะผันผ่าน มันกลับมาอีก

ไปแล้วกลับมา ในรูปแบบของตัวตน

แต่เมื่อใดที่เรามองเห็นองค์ประกอบของความคิด

เป็นเพียงสัญญานะ

เป็นเพียงความรู้สึกนะ

เป็นเพียงตัวปรุงแต่งรักชังนะ

แบบนี้ก็เรียกว่ารู้ตรงตามความเป็นจริง

กับสภาวะที่กําลังปรากฏ

เมื่อรู้เช่นนี้เห็นเช่นนี้

บทบาทของตัวตนก็จะระงับลง จะยุติบทบาท

เมื่อตัวตนอดีตประสบการณ์ยุติบทบาท

แล้วจิตจะไปไหน

จิตก็จะมาอยู่กับความสืบต่อของปัจจุบันกาล

ของลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

ปิยทัสสี ภิกขุ

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 01-06-2025


https://youtu.be/o6EFiRFwy_Q


สิ้นสุดการเดินทาง Group Sitting 2025-05-18
05/25/2025

.


ปฏิบัติบูชาวิสาขปุรณมี Group Sitting 04-05-2025
05/08/2025

กระบวนการความคิดของสมอง

ตอบสนองแรงปรารถนาของจิต

นั่นแสดงว่า

เมื่อใดที่จิตปรารถนาในอารมณ์

ต้องการในอารมณ์

เจตจำนงมุ่งหวังในอารมณ์

ก็จะส่งผลให้กระบวนการของความคิดทํางาน

แสดงว่าแรงปรารถนาเป็นเหตุ

กระบวนการความคิดเป็นผล

ถ้าดับเหตุซะหรือว่าเหตุไม่มี

แรงปรารถนาก็ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อิงอาศัย

เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับ

ใน 40 นาทีนี้ ข้าพเจ้าจะดํารงจิต ให้อิสระจากการเลือกอารมณ์

คำว่าไม่เลือกอารมณ์ นี่ครอบคลุมหมดเลยนะ

ไม่ปรารถนา ไม่ต้องการ ไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง

ดํารงจิตให้อิสระจากการเลือกอารมณ์ทั้งปวง

สุขระดับไหน ปราณีตปานใด ไม่เลือก

ไม่เข้าไปสู่มิติของการเลือก

เมื่อใดที่เราเลือก

เราก็จะเห็นสิ่งที่เราเลือก สิ่งที่เราปรุงแต่ง

แต่ถ้าหากว่าเราไม่เลือก

สภาวะที่ไม่ถูกเลือกจะแสดงสถานะ

นั่นคือสภาวะที่กําลังปรากฏนี่ไง

​​

ความเคยชินที่ว่าชีวิตฉันเลือกได้

จริงอยู่ที่ว่า..ในทางรูปธรรม

ช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิต

เราเลือกการศึกษา เลือกการงาน เลือกที่อยู่อาศัย

เลือกการใช้ชีวิตคู่

เลือก เลือก..เลือก

หากว่าเราเพลินกับการเลือกแบบนี้

ไปถึงจุดๆหนึ่ง ร่างกายเขาไม่ตอบสนองที่เราจะเลือกอีกต่อไปแล้ว

เราจะเจ็บ

เราจะเป็นผู้ที่ประมาท

เราเสพติดอยู่กับการเลือกตลอด

เมื่อใดที่สภาวะ "เลือกไม่ได้" ปรากฏขึ้น

เราจะเจ็บมาก โทมนัสมาก

ขัดแย้งมาก

ฉะนั้นความทุกข์ที่ว่า..

ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ สิ่งนั้น

ก็เป็นทุกข์

ประสพกับอารมณ์ที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก

ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความพึงพอใจ

ก็เป็นทุกข์


ความทุกข์นี้กิดจาก

การที่เราเลือกไม่ได้

ปรารถนาไม่ได้

จะรอให้ชีวิตเป็นแบบนั้นหรือ


เราควรจะมีวัคซีนให้จิตได้เสพคุ้นกับความจริง

ว่าแท้ที่จริงเบื้องลึก ต้นทางสายธารของชีวิต

ไม่มีส่วนใดเลยที่เราเลือกได้

จิตแบบนี้ต่างหาก ที่เรียกได้ว่า

เป็นผู้ที่ไม่ประมาท

ปิยทัสสี ภิกขุ

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 04-05-2025

https://youtu.be/RIeoES7SHm8


ดำเนินชีวิตอย่างไรชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท Group Sitting 2025-04-27
04/28/2025

สายธารของรูปและนามที่กําลังไหลไป

เราไม่สามารถต้านไม่ได้

เราจะไกลห่างจากความขัดแย้ง จากความสับสน

เราจะไกลห่างจากโลกที่เราสร้างขึ้นมา

ที่ทุกคนจําลองโลกอีกใบหนึ่งขึ้นมา มีโลกของตัวเอง

แต่หากเราไม่มีองค์ความรู้ สมาธิ วิปัสสนา

เราประมาทมาก

เราไม่เคยมาอยู่กับโลกของความเป็นจริง

หมกมุ่นอยู่พัวพันอยู่กับโลกที่ตัวเองสร้างขึ้น

ทุกข์อย่างเดียว

ตอนนี้เราโชคดีแล้วนะ

โดยเหตุและปัจจัย

ที่ทําให้เรามีโอกาสมาสัมผัสกับชีวิตที่ไม่ต้องเลือก

เพราะมันเลือกไม่ได้

ชื่อว่า เราเป็นผู้ไม่ประมาท

รูปและนามเป็นตัวที่เกิดจากเหตุและปัจจัย

ที่พระองค์ได้ตรัสว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

รูปและนามขันธ์เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเป็นธรรมดา

ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

นั้นหมายถึงว่า ผู้ที่ไม่ประมาทก็คือ

มาเห็นกฎแห่งความเป็นจริงของรูปและนามที่กําลังไหลไป

ไม่อยู่ใต้อาณัติของใคร

ไม่อยู่ในการควบคุมแรงจากการปรารถนาของใครทั้งหมด


การดับรอบของสักกายทิฏฐิ Group Sitting 2025-06-20
04/28/2025

เราจะทําดวงตาให้เห็นธรรมได้อย่างไร

ที่เราเคยได้ยินมาบ่อยบ่อย

ธรรมจักษุจะเข้าไปเห็นสภาวะ

เห็นธรรมคุณ ได้เห็นธรรมครั้งแรก เรียกว่าเป็นผู้เข้าสู่กระแส

เห็นธรรมก็คือเห็นพระนิพพาน เป็นโลกุตตระ

เห็นสภาวะที่ไม่ประกอบด้วยกาล

สักกายทิฏฐิความมีตัวตน

จะอิงรูปและนาม อิงขันธ์ทั้ง๕

เห็นความเกิดความดับความสืบต่อ

ของรูปและนามที่อิงเวลาอยู่

แต่เมื่อใดที่จิตของผู้ปฏิบัติมาสัมผัส

มาเข้าสู่กระแสแห่งการเกิดการดับ

ก็คือกระแสแห่งปัจจุบันกาล

เราไม่ลืมนะ

กระแสแห่งอดีตกาล อนาคตตกาล เป็นช่องทาง

เป็นกระแสที่ตัวตน ตัวปรุงแต่ง

จะอิงอดีตประสบการณ์เพื่อเติมเต็มให้กับตัวตนในอนาคตกาล

แต่เมื่อใดที่ผู้ปฏิบัติอาศัยอุบายองค์ความรู้

เพื่อเข้ามาอยู่กับปัจจุบันกาล

ลักษณะของตัวสักกายทิฐิ ตัวตน

อวิชชาตัณหา อุปาทาน จะไม่เกิดร่วม

เพราะไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่อิงอาศัย

แต่พอจิตเคลื่อนออกจากปัจจุบันกาล

ก็มาอีกแล้ว นี้เรียกว่ายังไม่สิ้นสุด

ยังไม่เป็นการตัดรอบ

การรู้การเห็นแบบนี้เป็นระดับปัญญา

มิใช่ระดับวิมุตติ

ส่วนการบรรลุถึงสภาวะโลกุตตระธรรม

ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าสู่กระแสนิพพาน

นั่นเป็นสภาวะที่ดับรอบ

ตัวสักกายทิฐิ ตัวร้อยรัดเบื้องต้นดับไป

ดับไปได้ยังไง เพราะอิงกาล

เมื่อเข้าไปถึงสภาะที่ไม่เกิดไม่ดับ

จิตก็เลยแจ่มแจ้ง

สภาวะที่อิงกาลเวลาที่ตัวตนอิงอยู่นี้

อิงอภิฌชาและโทมนัสที่ร้อยรัดจิต

ให้ติดอยู่ในอดีตกาล อนาคตกาล มันเป็นอย่างนี้

พอมาถึงจุดที่ว่าไม่มีสภาวะ

ความสืบต่อของกาลเวลา เป็นอกาลิโก

แล้วจะสงสัยมั้ย สงสัยกับตัวตนนี้ไหม ?

ถ้ายังไม่เห็นสภาวะที่การดับรอบของกาล ของตัวตน

คือดับรอบของรูปและนามของขันธ์

ก็จะแสวงหาตัวตนจากการเกิดการดับ

หยาบบ้างละเอียดบ้าง ปราณีตบ้าง

ตัวตนที่อิงกามสัญญาบ้าง รูปสัญญาบ้าง

อรูปตัวสัญญาบ้าง จะเป็นแบบนี้

นั่นคือนัยยะว่าที่ว่า

ผู้เข้าถึงกระแสของพระนิพพาน

ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงโลกุตตระแล้ว

จึงเป็นผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย

มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างไม่หวั่นไหว

ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงจิตของบุคคลนั้นให้เป็นไปอย่างอื่น

ให้ไปเชื่ออย่างอื่น

ให้เห็นไปอย่างอื่น

สภาวะที่เกิดดับที่เนื่องด้วยกาล สิ้นสุดลงแล้ว

สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็ปรากฏแจ่มแจ้งเมื่อนั้น

ความสงสัยสงสัยดับสิ้นไปได้อย่างไรในนัยยะที่ว่า

เพราะไปเห็นสภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ

ตัวตนสักกายทิฏฐินั้นอิงอาศัยสภาวะที่เกิดดับ ที่เป็นกระแสมาตลอด

กระแสแห่งความเกิดดับจากความสืบต่อของรูปและนาม

หยาบบ้างละเอียดบ้าง

แต่พอมาถึงจุดๆนึง

กระแสนั้นสิ้นสุดลงไปเลย

แล้วก็เข้าไปสู่สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับก็คือกระแสพระนิพพาน

ผู้แรกเห็น

เรียกว่าโสดาบัน โสดาบันบุคคล


สมาธิ ธรรมที่ให้ผลโดยลำดับ Group Sitting 2025-04-06
04/23/2025

การเกิดการดับ การดํารงอยู่ของขันธ์

ดํารงอยู่ในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น

อายุกาลมีเพียงชั่วขณะก็สลายไป

จิตที่มารับรู้กับหนึ่งขณะของรูปและนาม

มีศัพท์บัญญัติว่าจิตก็เกิดดับด้วย

แท้ที่จริงจิตไม่เกิดไม่ดับ

ที่เกิดดับนั่นคือรูปและนาม

เมื่อเห็นซึ่งความเกิดเห็นซึ่งความดับอยู่แบบนี้

ผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่เช่นนี้ คืนเวลาให้กับโลก

คืนอดีตอนาคต คืนตัวตน

คืนสิ่งร้อยรัด

คืนอภิฌชาและโทมนัส

คืนความรักความชัง

อย่าลืมนะตัวตนคือความสืบต่อ

ของความรักและความชัง

สังเกตตัวตนเรานี้จะอิงความรักและความชัง

อภิฌชา และโทนัส ก็คือตัวตัณหา

แล้วความรักความชังนั้นอิงอะไร

เราเป็นนักปฏิบัติ

สาวเข้าไป พื้นที่ไม่กว้างหรอกความรักและความชัง

พื้นที่ของความรักและความชังนั้นอิงความสัมพันธ์

ตัวตนของเราก็จะปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์นั่นเอง

เราถึงใช้นิยามว่า

ความสัมพันธ์คือกระจกเงาที่สะท้อนภาพลักษณ์ของตัวตน

ผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่ชัดอยู่ซึ่งปัจจุบันกาล ปัจจุบันขณะ

ผู้นั้นชื่อว่า เป็นผู้กลืนกินกาล ผู้นั้นไม่ถูกเวลากลืนกิน

แต่เป็นผู้กลืนกินกาล

ย่อมหยั่งลงสู่อมตะได้

ฉะนั้น เมื่อเห็นอยู่ชัดอยู่ซึ่งปัจจุบันขณะ

ผู้นั้นย่อมย่อมหยั่งลงสู่อมตะ คือเข้าถึงพระนิพพาน

นั่นหมายถึงแม้แต่กาลอันเป็นปัจจุบันขณะ

ตามสืบต่อของปัจจุบันขณะนั้นก็สิ้นสุดลง

ไม่ประกอบด้วยกาล

ปิยทัสสี ภิกขุ

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 06-04-2025


การบรรลุธรรมต้องอาศัย ความเป็นกลางระดับไหน ? Group Sitting 2025-03-30
03/31/2025

ความอัศจรรย์ความง่ายก็คือ

เราจะอาศัยความเกิดและความดับของรูปและนาม

เป็นเรือ และเป็นแพ เป็นพาหนะนําจิตเข้าไปสู่ฝั่ง

สภาวะที่เหนือรูปและเหนือนาม

เหนือกาลเวลา เหนือการเปลี่ยนแปลง

ก็คือโลกุตตระธรรม

ฉะนั้นวันนี้ได้อธิบายเพิ่มเติม

ในนิยามของคําว่า มัชฌิมาปฏิปทา

ซึ่งภาวะความเป็นกลางนี้จะเด่นชัด

ในมรรคองค์สุดท้ายก็คือสัมมาสมาธิ ​

อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้ว

ภาวะความเป็นกลางเกิดขึ้น

แม้เพียงการเห็นเพียงชั่วขณะ

ขณะใดที่ปัญญาญาณเกิด

ภาวะความเป็นกลางก็เกิด

แต่ภาวะความเป็นกลางนี้ปรากฏ

อยู่เพียงชั่วขณะของปัญญาที่เล่นไป

เรียกว่าตทังควิมุตติ ตทังคนิโรธ

แต่เมื่อใดที่ภาวะความเป็นกลาง

เคลื่อนไปถึงระดับที่ยาวนาน ตั้งมั่นได้อยู่นาน

นั่นเรียกว่าภาวะความเป็นกลางในระดับสัมมาสมาธิ

มีกําลังแล้ว

นี่แหละที่ภาวะความเป็นกลาง

เกิดร่วมกับความตั้งมั่นของจิต

จะนําไปสู่โมเมนต์ในขณะของกระบวนการบรรลุธรรม

ปิยทัสสี ภิกขุ

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 30-03-2025


https://youtu.be/SQ7JPAShIMk


จุดกึ่งกลางสมอง มหัศจรรย์แห่งการรับรู้ ยุคทองแห่งจิตภาวนา Group Sitting 2025-03-23
03/24/2025

เมื่อจิตอยู่กับคำบริกรรม (มรณานุสสติ)

หรืออยู่กับความรู้สึกที่ปลายลิ้น

ความรู้สึกจักไปเชื่อมโยงกับ

จุดกึ่งกลางสมองโดยอัตโนมัติ

จะแนบแน่นอยู่กับกึ่งกลางสมอง

อยู่กับต่อมไพเนียล

จะแนบแน่นอยู่

ตราบใดที่ความรู้สึกยังแนบแน่นอยู่กับกึ่งกลางสมอง

ความคิด ความนึกจะไม่มีบทบาทเลย

ยินดี ไม่ยินดี รัก ชัง ฟุ้งซ่าน ​ ฯ

อดีต อนาคตจะดับมอดหมดเลย

จะยุติบทบาทหมด

กึ่งกลางสมอง ถึงเป็นจุดมหัศจรรย์ในยุคของพลังงานใหม่

เป็นยุคทองของการฝึกจิตพัฒนาจิต

เป็นจุดศูนย์รวมของการรับรู้

ในฝ่ายของกุศลธรรม

มัคคปฏิปทาทั้งหลาย

คุณความดีทั้งหลาย จะรวมศูนย์ที่กึ่งกลางสมอง

นั่นหมายถึงว่า ในขณะที่จิต

ยังเป็นหนึ่งเดียวกับกึ่งกลางสมอง

ด้วยอุบายวิธีใดก็แล้วแต่

อกุศลธรรมทั้งหลาย ฯ

นิวรณ์ธรรม อกุศลธรรม อภิฌชา ​ และ โทมนัส

จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

นั่นหมายถึงอะไร

อกุศลธรรม อภิฌชา โทมนัส นิวรณ์ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน

เมื่อจิตถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงํา

ความรู้สึกจะไม่อยู่ที่กลางสมอง

จะถูกหน่วงมาลงมาที่ใจ

เมื่อก่อน.. ก่อนที่พลังงานจะเปลี่ยน

ทั้งกุศลและอกุศล จะรวมลงที่ใจทั้งหมด

มันยากในการที่จะสังเกต

ที่จะพรากจิต ออกจากอกุศลธรรม

เพราะอยู่ตําแหน่งเดียวกัน

ที่เราเคยได้ยิน "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า

สําเร็จแล้วได้ด้วยใจ" น่ะเมื่อก่อนเป็นเช่นนั้น

แต่..บัดนี้ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎา ปี 2564

มิใช่เช่นนั้นแล้ว

จุดศูนย์รวมของการรับรู้

กุศลและอกุศล

ได้แบ่งภาคกันโดยสิ้นเชิง

ปิยทัสสี ภิกขุ

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 23-03-2025

===========

* * The Center of Consciousness: Pineal Meditation Practice * *

* Connection to the Brain's Center *

When the mind dwells with a meditation object (maraṇānussati)

Or with the sensation at the tip of the tongue,

The feeling will automatically connect

To the center of the brain.

It will firmly attach to the brain's center,

To the pineal gland,

Remaining firmly established there.

As long as the feeling stays anchored to the brain's center,

Thoughts and mental formations have no role whatsoever.

* Freedom from Mental Hindrances *

Pleasure, displeasure, love, hatred, distraction, etc.,

Past and future will completely extinguish.

All these activities will entirely cease.

The brain's center is thus a miraculous point in this era of new energy,

A golden age for mental training and development.

It is the focal point of awareness

In the domain of wholesome states (kusala-dhamma),

And the paths of practice (magga-paṭipadā).

* The Convergence of Virtue *

All virtuous qualities converge at the brain's center.

This means that while the mind

Remains unified with the brain's center,

Through whatever skillful means,


องค์ความรู้สมาธิ วิปัสสนา แก้ปัญหาความซึมเศร้าได้หรือไม่ Group Sitting 2025-03-16
03/22/2025

องค์ความรู้ของสมาธิ วิปัสสนาก็เปิดนะเปิดโอเพ่น

ซึ่งการเปิดนี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องเข้ามาที่ศูนย์เท่านั้น

องค์ความรู้สามารถดูได้จากสื่อในเบื้องต้น

เราเป็นนักวิปัสสนาเราชัดอยู่แล้วว่า

การเปรียบเทียบเรื่องตัวตน

มีอํานาจมาก มีอิทธิพลมาก ตัวตน


พระพุทธองค์ท่านทรงแสดงว่า

พระองค์ท่านไม่เห็นสวัสดิภาพใด ๆ

ที่เกิดจากความยึดติดในตัวตน

มันจะนําความทุกข์มาให้เสมอ

ยึดติดมาก กระทบมาก

ยึดติดน้อย กระทบน้อย

ไม่ยึดติดไม่ทุกข์เลย


แล้วการที่จะเข้าไปรู้เข้าไปเห็น

เข้าไปสัมผัสกับองค์ความรู้นี้ในเบื้องต้น

เราก็สามารถฟังจากสื่อดูจากสื่อ


องค์ความรู้ไหนที่ละคลายเรื่องตัวเรื่องตน

นั่นแหละ เป็นช่องทาง เป็นอุบาย เป็นแสงสว่าง

ที่จะนําผู้ที่ยึดผู้ที่ติดในโลกของความคิด

จนกระทั่งว่าเป็นซึมเศร้า

ให้ได้คลายออกมาจากปัญหานั้น

ออกจากจุดยืนนั้น จากจุดมืดนั้น


ต้องคลายเรื่องความคิดนี้ก่อน

เขาก็จะเห็นโทษของความมีความตัวตนนี้เอง

ซึ่งผู้ปฏิบัติวิปัสสนาก็จะเห็นชัดนะ

เห็นโทษของการรับรู้ที่ผ่านตัวตน


มีตัวตนเป็นจุดศูนย์กลางในการรับรู้

มองทุกอย่างแต่ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางเสมอ

ไม่ทุกข์มากก็ทุกข์น้อย

ปัญหาจะเกิดขึ้นจากความยึดติดนี้เสมอ

เพียงแต่ว่า เอ๊ะ เมื่อความทุกข์มันเกิดขึ้น

จากตัวตนแล้ว ก็อาศัยองค์ความรู้

ที่เราได้ฝึกฝนมาก็มันก็คลี่คลายไป

มันไม่ได้ตั้งอยู่นาน

แต่ถ้าว่าเมื่อใดที่มันคลี่คลายไม่ได้

จะไปจบลงที่ความซึมเศร้าหมกมุ่นอยู่อย่างนี้


-------

เมื่อใดที่จิตไปปฏิบัติเจตจํานงมากเกินไป

อุบายวิธีไหนก็แล้วแต่ที่ใช้เจตจํานงของจิตเหมือนกับไป

ระลึกจริงจริง เหมือนการสะกดจิต

เมื่อไปถึงจุดจุดหนึ่งจิตมันตีกลับ

มันผิดธรรมชาติของความเกิดและความดับ

ไปกดไปข่มมัน

ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นนะ


ปิยทัสสี ภิกขุ
ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน
#ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน
Group Sitting 16-03-2025
https://youtu.be/SQ7JPAShIMk


จิตที่พ้นไปจากกรอบแห่งกาล Group Sitting 2025-03-09
03/18/2025

คําสอนแห่งพุทธวัตถุประสงค์

ไม่ได้สิ้นสุดลงที่รูปฌาน อรูปฌาน

นั่นเป็นพื้นที่ของสมาธิ

คําสอนของพุทธนั้นต้องไปถึงระดับปัญญา

เห็นการเกิดเห็นการดับแล้ว

บนพื้นที่ของสมาธิ ๗ ขั้น

ขั้นใดขั้นหนึ่ง

การดับรอบของรูปและนาม ​

ไม่มีความสืบต่อระหว่างการเกิดและการดับ

นั่นแหละจิตได้"บรรลุถึง"

สภาวะที่เป็นเป้าหมายของพุทธประสงค์

ของคําสอนในพุทธศาสนา

คือเคลื่อนจากโลกียะไปสู่โลกุตระนั่นเอง

สภาวะที่ไม่มีการเคลื่อน

ไม่มีการปรากฏซึ่งความเกิด

และความดับของรูปและนาม

สภาวะที่ไม่มีเวลาน่ะเรียกว่า อกาลิโก

ไม่ประกอบด้วยกาล

จะเป็นอื่นไปไม่ได้นะ

ก็คือสภาวะนิพพานนั่นเอง

ขณะนี้เดี๋ยวนี้เห็นการเคลื่อนของอะไร

เห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาวธรรมไหน

สักแต่ว่ารู้นะ

ไม่มั่นหมายว่าในกระบวนการรู้นั้นมีเขามีเรา

ในโมเมนต์ไหนล่ะ ที่ไม่มีเขา ไม่มีเรา

ก็คือโมเมนต์ของ -

เห็นซึ่งความเกิด เห็นซึ่งความดับ ​

จะมีเรามีเขาได้อย่างไรเมื่อ

ปรากฏอยู่เพียงชั่วขณะก็สลายไปแล้ว

รู้อยู่เห็นอยู่เช่นนี้ จิตจักเคลื่อนไปเอง

จากหยาบ ไปละเอียด

จากกามสัญญาไปสู่รูปสัญญา อรูปสัญญา

จากโลกิยะไปสู่โลกุตระ

ขณะนี้เดี๋ยวนี้

มันสิ้นสุดในตัวมันเองนะ สภาวธรรม

ไม่มีอะไรตกค้างอยู่เลย

ไม่มีอะไรตกค้างนั่นคือ

ไม่มีภาวะความมีตัวตน

ที่นิยามว่า มีฉันอยู่ มีรักอยู่ มีชังอยู่

มีสุข มีทุกข์อยู่น่ะ อันนั้นคือตกค้างล่ะ

นั่นคือตัวตนนะ ที่คั่งค้างแบบนั้น

ทําไมถึงคั่งค้างอยู่แบบนั้น

ก็เพราะไม่อยู่ในปัจจุบันกาล

เพราะไปอิงเอากาลที่ผ่านไปแล้ว

ถ้าแจ่มแจ้งประจักษ์ชัดอยู่กับปัจจุบันกาล

ไม่มีภาวะความมีตัวตนนะ

เพราะไม่คั่งค้างอะไร

นี่แหละนิยามของคําว่า

"ไร้ตัว ไร้ตน ไร้สัตว์ ไร้บุคคล"

ก็คือสภาวะ อนัตตา

ปิยทัสสี ภิกขุ

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 09-03-2025

https://open.spotify.com/episode/3IolsTNJSzZ0HYex7C6fuU



ชีวิตและความตาย Group Sitting 2025-03-02
03/09/2025

เมื่อความจริงทั้งหลายปรากฏ สิ่งปรุงแต่งก็ดับลง

ใครมารู้เช่นนี้ รูเห็นเช่นนี้ ผู้นั้นคือผู้แจ่มแจ้งในวิปัสสนา

ชีวิตและความตาย

ไม่ได้ห่างไกล ไม่ได้ยาวนาน

ไม่ได้ต้องรอว่าความตายจะกินเวลาอีกนานเท่าไหร่

องค์ความรู้วิปัสสนานั้นจะทําให้ผู้ปฏิบัติเข้าไปเห็นแจ้งประจักษ์ชัดว่า

แท้จริงชีวิตนั้นมันเกิดและตายอยู่ทุกขณะ

ด้วยองค์ความรู้นี้ ด้วยการประจักษ์แจ้งเช่นนี้

จะทําให้ความหวั่นไหว ความกลัว

ความกังวลอันนำมาซึ่งความทุกข์ อันนํามาซึ่งภัย

เรากําลังหนีภัยอยู่หนีเป็นไหม

พ้นภัยรึยัง พ้นทุกข์หรือยัง

ภัยนั้นนํามาซึ่งความทุกข์ในนัยยะต่างๆ

แจ่มแจ้งขณะนี้ ก็พ้นขณะนี้ ดับได้ขณะนี้

กําลังสมาธิมากขึ้น

ก็ดับทุกข์ได้มากขึ้น นานขึ้น

จนกระทั่งว่าไปถึงการดับรอบ

ถึงมัคคญาณคือการบรรลุธรรมแต่ละขั้น

อันนั้นดับรอบจริง ๆ

อันใดที่ดับไปแล้วพร้อมกับมัคคญาน

สิ่งร้อยรัดไม่ว่าเราจะอยู่นอกสมาธิในสมาธิ

จะไม่มารบกวนจิตอีก

ดับแล้วดับไปเลย

นั่นคือเหตุผลว่าในสังสารวัฏนี้ของจิตดวงหนึ่ง

มัคคญาณใดที่เกิดขึ้นแล้วจะไม่เกิดขึ้นอีก

เพราะอะไร เพราะมัคคญาณนี้ทําหน้าที่ประหาร

ดับซึ่งสิ่งร้อยรัด ซึ่งมี10ตัว

ได้โดยสมุจเฉท ได้โดยสิ้นเชิง ได้โดยถาวร

เมื่อภารกิจหน้าที่ในการดับตัวร้อยรัดนี้หมดสิ้นแล้ว

มัคคญาณนั้นถึงไม่ปรากฏอีกไง

--- ปิยทัสสี ภิกขุ ---

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 02-03-2025


ความคิดไม่ใช่อุปสรรคของสมาธิ Group Sitting 2025-02-23
03/02/2025

ความคิดที่ไม่เป็นอุปสรรคของการภาวนา

นั่นหมายถึงจะต้องเป็นความคิด

ที่สอดคล้องกับกฏแห่งไตรลักษณ์

โดยเฉพาะอนิจจังนะ

ความคิดใดที่สอดคล้องกับกฏแห่งไตรลักษณ์

ความคิดนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ

เห็นว่านี่คือทุกข์

นี่คือเหตุแห่งทุกข์

รู้เห็นเช่นนี้ เหตุแห่งทุกข์ก็ดับไป

เสพคุ้นกับองค์ความรู้

นั้นก็คือมัคคปฏิปทาที่กําลังดําเนินอยู่

จนกระทั่งว่ามัคคปฏิปทา

สมาธิและวิปัสสนา

ที่กำลังเดินอยู่มีกําลังสูงสุด

ระดับโพชฌงค์องค์แห่งการตรัสรู้

นั่นคือเข้าไปสู่การดับรอบของรูปนาม

--- ปิยทัสสี ภิกขุ ---

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

#เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน

Group Sitting 23-02-2025

Thoughts that do not become obstacles to meditation

must be thoughts that are in harmony

with the Law of the Three Characteristics, especially the principle of impermanence.

Any thought that aligns with the Law of the Three Characteristics is right view (sammā diṭṭhi).

Seeing that "this is suffering, this is the cause of suffering"

- when one perceives in this manner, the cause of suffering dissolves.

Becoming familiar with this body of knowledge is the path (magga paṭipadā) that is being traversed, until the path, concentration (samādhi), and insight (vipassanā) being practiced reach their ultimate power at the level of the awakening factors (bojjhaṅga).

This is entering the complete cessation of name and form.

Ven Narasapa Piyadassi

===================



ปฏิบัติบูชา มาฆบูชา Group Sitting 2025-02-09
02/17/2025

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ของมาฆบูชา

มาฆบูชารําลึก วันที่ 12 ที่จะถึงนี้

ถือโอกาสนี้ได้มาปรารภการปฏิบัติธรรม

น้อมการปฏิบัติบูชาเนื่องในวัน มาฆบูชา

เป็นวันที่ระลึกถึงพระพุทธองค์และเหล่าพระอรหันต์ ๑๒๕๐ รูป

สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
เอตัง พุทธานะสาสะนัง


 ความไม่ทำบาปทั้งปวง

ความบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม

ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว

นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย




ปฏิปทาการเดินทางสู่การสิ้นสุดของกาลเวลา Group Sitting 2025-02-02
02/15/2025

การอุบัติขึ้น การดำรงอยู่และการเสื่อมสลายไป ของโลกสสารพลังงาน ทุกปรากฏการณ์ในจักรวาล ล้วนตกอยู่ภายใต้ขอบเขตของเวลา ​ ​ ​ มิติของสสารและพลังงานที่จิตเข้าไปตั้ง อิงอาศัยอยู่เรียกว่า สั ง ส า ร วั ฏ ​ ​ ​ ไม่มีใครล่วงรู้ ว่ายุคกาลสมัยใด ของจักรวาลที่จิตเริ่มต้นมาท่องเที่ยวและตั้งรกรากปักฐานในสังสารวัฏนี้ ​ ​ ​ "ยุคกาลอวสานของจักรวาลเป็นเช่นใด คงไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า "วงจรของสังสารวัฏจักยุติการหมุนวนและสิ้นสุดลงได้อย่างไร” ​ ​ ​ แรงเหวี่ยง(แรงผลัก) ออกจากจุดศูนย์กลางทำให้เกิดการเคลื่อน แรงดึงเข้าหาจุดศูนย์กลางก็ทำกิจ รึงรัด ดึงดูดมวลทั้งปวงไว้ ​ ​ ​ เมื่อแรงทั้งสองทำกิจร่วมกัน นั่นคือวัฏจักรของดวงดาว จิตที่มีอวิชชาก็ขับเคลื่อนไปในวัฏจักรแห่งภพ(สังสารวัฏ) ด้วยแรงดึงดูด(ความพึงพอใจ) และแรงผลัก เหวี่ยงออกไป(ความไม่พึงพอใจ) ​ ​ ​ หากแรงทั้งสองขั้วถึงวาระดับสลาย มวลของดวงดาวและสังสารวัฏก็มาถึง ก า ล อ ว ส า น ​ ​ ​ มีหลากหลายเส้นทางให้เลือก แต่เส้นทางเหล่านั้นมักนำเราไปหลงเวียนวนอยู่ในวัฏจักรของดวงดาวและสังสารวัฏ ​ ​ ​ มัชฌิมาปฏิปทาคือเส้นทาง ที่นำจิตไปสู่ความเป็นกลาง ในโลกสสารพลังงานนำจิตไปสู่ความเป็นกลางในมิติของกาลเวลา ​ ​ ​ เมื่อภาวะความเป็นกลางของจิต มีกำลังมาก แรงพึงพอใจ(อภิชฌา)และแรงไม่พึงพอใจ(โทมนัส) ก็ถึงวาระดับสลาย วัฏจักรของเวลาและสังสารวัฏก็มาถึง ก า ล อ ว ส า น ​ ​ ​ หนังสือเล่มนี้จักทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกัลยาณมิตร ร่วมเดินทางไปกับท่าน โดยเริ่มต้นที่จุดขอบของเวลา เข้าไปสู่จุดศูนย์กลางของเวลา และจุดสุดท้าย คือจุดสิ้นสุดของเวลา . .​ ​ ​ บนเส้นทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา คุณพร้อมสำหรับการเดินทางหรือยัง . . . ​ ​ ​ ​ ​ ปิยทัสสี ภิกขุ วัดใหม่มอวาคี แม่วาง เชียงใหม่ เพ็ญเดือน ๑๒, พ.ศ. ๒๕๖๓


เพ่งอารมณ์ พิจารณาอารมณ์ องค์ธรรม 2 ประการ เพื่อความก้าวหน้าบนเส้นทางการปฏิบัติธรรม Group Sitting 2025-01-26
02/01/2025

ผู้ปฏิบัติถามว่า

ถ้าจิตไปเพ่งอารมณ์ ไปเป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์แล้วเนี่ย

เพ่งเพียรนะ มิใช่เพ่งด้วยอภิชฌาวิสมโลภะ

การเพ่งแบบนั้นไม่ใช่เพ่งแบบมัคคปฏิปทา

นี้เรียกว่าเพ่งเพียรมีตบะ

มีตัวอาตาปี อาตาปีนี้ก็คือการเพ่งเพียร

อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง

อย่างเราอยู่กับการเคลื่อนของลมหายใจ

นั่นเรียกว่าเพ่งเพียร

ถ้าจิตเป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์ที่เพ่งนะ

ความเป็นหนึ่งมันเกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง

นั่นเรียกว่าอารมณ์สมถะ อารมณ์สมาธิ

ก็มีผู้ปฏิบัติสงสัยว่า

ถ้าจิตยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์

ความเป็นหนึ่งที่เกิดขึ้นเองยังไม่ปรากฏ

ภาวะความเป็นหนึ่งที่เกิดขึ้นเองยังไม่ปรากฏ

ภาวะความเป็นหนึ่งการไปเพ่งตามฐานต่าง ๆ

เกิดจากเจตจํานงของเราเอง

สามารถเจริญปัญญาได้มั้ย

"ได้"

เราอย่าลืมนะ

วิปัสสนาสามารถเจริญได้ทั้งกามภูมิและรูปภูมิ

กามสัญญา รูปสัญญาและอรูปสัญญาอีก 3 ขั้นเบื้องต้น

นี้คือกำลังวิปัสสนา นําหน้าสมถะ

เราอย่าลืมนะ

ช่องทางการบรรลุนิพพาน

ย่อมอาศัยกําลังของสมาธิและวิปัสสนาควบคู่กันไป

กําลังสมาธิหรือสมถะ

จริตบางท่านก็มีสมถะนําหน้า วิปัสสนาตามหลัง

บางท่านก็มีวิปัสสนานําหน้า สมถะตามหลัง

จริตบางท่านก็ท่านทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป

ให้เราเข้าไปอ่านใน สมถะนําหน้าวิปัสสนา วิปัสสนานําหน้าสมถะ

ทั้งสมถะหรือวิปัสสนาควบคู่กันไป นั่นเป็นนัยยะอย่างไร

ผู้ที่มีกําลังสมถะน้อย มีปัญญามาก

พึงเข้าไปใกล้ชิด พึงเข้าไปหาผู้มีจิตตั้งมั่น

มีจิตมีอารมณ์เดียว แล้วเข้าไปถามว่า

ควรดํารงจิตอย่างไร ให้ตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์

แต่ผู้ที่มีสมาธิแล้ว กําลังปัญญาอ่อน วิปัสสนาอ่อน

พึงเข้าไปใกล้กับผู้ที่มีวิปัสสนา

มีปัญญา แล้วเข้าไปถามว่า

จิตนี้ควรพิจารณาอารมณ์อย่างไร

เห็นแจ้งชัดในอารมณ์อย่างไร

จะเป็นอย่างนี้

เมื่อเข้าไปเสพคุ้นแล้ว

ซึ่งความเป็นหนึ่งของอารมณ์

และเห็นการเกิดดับ เห็นคุณสมบัติของอารมณ์

อันนิยามว่าวิปัสสนาแล้ว

เมื่อกําลังอินทรีย์ทั้งสมาธิและวิปัสสนา

สมถะวิปัสสนามีกําลังระดับหนึ่ง

มีกําลังในระดับโพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้

นั่นแหละสําคัญนักล่ะ

กระบวนของมัคคญาณก็ปรากฏ

มัคคญาณคือบรรลุถึงวิมุตติ

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

===========

Group Sitting 26-01-2025

ศูนย์วิปัสสนา วัดถ้ำดอยโตน

#เพจผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมวัดถ้ำดอยโตน



อรรถกถา ยุคปี2000 Group Sitting 2025-01-19
01/22/2025

ที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 22 กรกฎาปี 64 อะไรเกิดขึ้นด้วย ​

ใจนะ ใจนี้ยังมีบทบาทในการรับรู้อยู่

ใจจะเป็นจุดศูนย์รวมของการรับรู้ในฝ่ายของอกุศล

ความเศร้าหมอง

กิเลสอวิชชาตัณหาอุปาทานนะ


เวลาที่จิตไปรับรู้อารมณ์ว่ามีอวิชชาตัณหาอุปาทานเข้าเกิดร่วม

ความรู้สึกจะถูกดึงถูกหน่วงไปที่หัวใจ

แต่เมื่อใดที่จิตประกอบกับกุศล

ในการรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกจะอยู่ที่กึ่งกลางสมอง

ซึ่งในมีหลายคลิปนะที่พระอาจารย์ให้ผู้ปฏิบัติมีการทดสอบ

มีการเทสมีการพิสูจน์ด้วยตัวเราเอง

เป็นเช่นนั้นจริงด้วย

เมื่อเราน้อมนึกถึงกุศลธรรม

คุณความดีฐานะบารมีการเสียสละนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า

หรือว่าน้อมจิตหยั่งลงสู่ไตรลักษณ์

อนิจจังทุกขังอนัตตา

ความรู้สึกจะรวมศูนย์ที่กึ่งกลางสมอง

แต่ถ้าเมื่อใด ลองเทสดูได้นะเมื่อเรานึกถึงอารมณ์อกุศล

อันเป็นอารมณ์ที่ทําให้จิตเราเศร้าหมอง

เป็นความรักความชังความผูกพันธ์

การได้มาเสียไปความวิตกกังวลอะไรต่างต่างน่ะ

ความรู้สึกมันจะหน่วงไปที่หัวใจทันที

อันนี้ไม่ไม่ต้องรอระดับสมาธิผู้ปฏิบัติสามารถสัมผัสได้

ด้วยประสบการณ์ง่ายๆ

ส่วนกึ่งกลางสมองนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวม

ของกุศลธรรมทั้งปวงในการรับรู้อารมณ์

เมื่อใดที่จิตรับรู้อารมณ์

ที่ประกอบด้วยกุศลธรรมด้วยปัญญา

เมื่อพูดแล้วกลับมาที่ธรรมจักร

เมื่อธรรมจักรปรากฏจะเป็น ๖ วงใช่ไหมก็คือ ๖ ดวง

แต่ว่าเกิดขึ้นทีละดวง

จากวงกลมของ ๖ วงเหลืออยู่วงเดียว

ก็คือตัวธรรมารมณ์กับกึ่งกลางสมอง

ซึ่งเมื่อก่อนนั้นก็เรียกว่าเหลืออยู่เฉพาะธรรมารมณ์กับใจ

แล้ววงกลมของธรรมารมณ์จะหมุนเร็วขึ้นเร็วขึ้น

แล้วกาลอวสาน การสิ้นสุดของวงกลมหรือว่าธรรมจักรก็ดับไป

ดับไปปุ้บวิมุตติญานทัสสนะก็ปรากฏนะ

ที่เกี่ยวกับว่าเป็นชาติสุดท้าย เป็นภพสุดท้าย ภพใหม่ไม่มี

ประมาณนี้ อันนี้ก็จะเป็นอรรถกถา

เพื่อชี้แจงเพื่อมาทําความกระจ่างชัดว่า

เอ๊ะไม่มีในพระไตรปิฏก

บัญญัติในสิ่งที่พระองค์พระพุทธองค์ไม่ได้บัญญัติขึ้น

จะเป็นบาปกรรมไหม ก็มีทัศนคติต่างๆกันไป

เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น

ไม่เป็นการกล่าวตู่หรือว่าไม่เป็นวจีกรรม

กับผู้ที่เข้ามารู้ มาเห็น เข้ามาเสพสื่อ เข้ามามีโอกาส

ได้ได้ยินได้ฟังแบบนั้น

ก็อ๋อนี่ก็ขอให้พวกเรา ผู้เดินทางอยู่

ที่ได้เข้ามาศึกษาองค์ความรู้เหล่านี้

ที่พระอาจารย์มาแบ่งปันนี้ก็เป็นหนึ่งใน "อรรถกถา"

--------

ขอบเขตการรับรู้ของจิตนี้

จะอยู่ในขอบเขตของกายหรือว่าของรูปขันธ์

เพราะฉะนั้นพระองค์ท่านถึงบัญญัติศัพท์อีกตัวหนึ่งว่า

รูปสัญญา ตามให้ทันนะ รูปสัญญา

นั่นหมายถึงว่าใครก็ตามที่มีประสบการณ์

เวลาตัวเองเข้าสมาธิ ขณิกะ อุปจาระ อัปปนาแล้วเนี่ย

มันเวิ้งว้าง มันเป็นว่างเปล่าไร้จุดหมาย

ไม่มีที่ตั้งของกายเหมือนกับว่างเปล่า

ไม่มีกายไม่มีความรู้สึกทางกายเลย

แบบนี้แสดงว่าไม่ใช่นะ

ไม่ใช่ฌานจิต ไม่ใช่รูปสัญญา

เพราะรูปสัญญา สัญญาการรับรู้จะต้องอยู่ในขอบเขตของรูป

คือต้องอยู่ในขอบเขตของกายนี้


สันตติของรูปและนามสิ้นสุดลง Group Sitting 2024-01-12
01/20/2025

จากจุดที่ว่าเห็นการเปลี่ยนแปลง

เห็นการเกิดการดับของรูปและนาม

จะเคลื่อนจากหยาบไปละเอียด

เรียกว่าเคลื่อนจากกามสัญญาไปสู่รูปสัญญา อรูปสัญญา

และเคลื่อนจากโลกียะไปสู่โลกุตตระ

มันเคลื่อนไปเองนะ

ภารกิจของเราก็คือเห็นการเคลื่อน

ผู้ใดเห็นการเคลื่อนของรูปและนามในปัจจุบันขณะ

ผู้นั้นชื่อว่าเห็นซึ่งความเกิดและความดับ

กัลยาณมิตร คุรุอาจารย์ส่งเราถึงแค่นี้

เมื่อประจักษ์ชัดซึ่งความเกิดและความดับ

ทุกคนต้องดําเนินไปเอง

ต้องเดินทางไปโดยลําพัง

หมดหน้าที่ของกัลยาณมิตรแล้ว

เกิดแล้วก็ดับ ดับไปแล้วก็มีภาวะเกิด

มาสืบต่อแล้วก็ดับไป

ความสืบต่อนี้ เรียกว่าสันตติ

ของความเกิดและความดับ ไหลเป็นสายๆ

เมื่อใดที่สันตติขาดไป ไม่มีความสืบต่อแล้ว

ซึ่งดับไปนี่จะสิ้นสุดลงตรงที่ความดับ

นิยามว่าดับสุดท้าย ไม่มีความเกิดมาสืบต่อ

เมื่อสายธารแห่งความสืบต่อ(สันตติ)

สิ้นสุดลง นั่นคือการสิ้นสุดการเดินทาง

เมื่อไม่เกิดจะดับได้อย่างไร

สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับน่ะนิพพาน

ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม Group Sitting 12-01-2025

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน



ขณะหลับจิตอยู่ที่ไหน Group Sitting 2025-01-05
01/13/2025

อีกประเด็นนึงก็คือความคิด

ในชีวิตประจําวันเราใช้ความคิด

ถึงเรานิยามว่ามีจิตอยู่ ก็เพราะว่าความคิดมันทํางาน

ความคิดนี่อาศัยอะไร

อาศัยสัญญาความจำ ความคิดคือผลิตผลของความจํา

แล้วในหมวดแห่งการหลับ ประสาทสัมผัสในส่วนของความจํามันหยุดการทํางาน

อย่าลืมนะพระอาจารย์

บอกอุบายวิธีหลายครั้งแล้วว่า

ใน 5 นาทีสุดท้ายก่อนที่จิตจะเคลื่อนเข้าสู่โหมดแห่งการหลับอย่างจริงจัง

อารมณ์ที่จิตรับรู้จะเป็นอารมณ์อดีตทั้งหมด

ไม่ใช่อารมณ์อนาคตนะ

อดีตก็มันก็จะน้อยลงเบาบางลง น้อยลงเบาลง จนกระทั่งว่าสัญญาความจําสุดท้ายหายไป

การรับรู้ของจิตก็หายไปด้วยนั่นก็คือเรานิยามว่าความหลับ

ทั้งเจ้าของคําถามก็ถามว่า

พอเขาตื่นขึ้นมาเขาก็รู้สึกมีคําถามว่าเอ๊ะในช่วงที่ฉันหลับนะ

ตัวฉันแล้วจิตของเขามันอยู่ที่ไหน

มันน่ากลัวมากนะเราอยู่กับความไม่รู้ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ามันมีตัวเราอีกมีจิตอีก

อันนี้ก็เอาง่ายง่ายก็คือสัญญาเมื่อใดที่ประสาทสัมผัสส่วนของความจำหยุดการทํางานเมื่อนั้น

จิตก็หยั่งลงสู่ความหลับ

อันนี้หมายถึงผู้ที่ยัง

ไม่ถึงการปฏิบัติธรรมขั้นสูงนะ

เราอย่าลืมนะในโลกียะ

การรับรู้ของจิตมีองค์ประกอบสองอย่างคือความจําและความรู้สึก

ก็คือสัญญาและเวทนานั่นเอง

คําว่าสัญญาตัวนี้หยุดการทํางานซึ่งเป็นส่วนประสาทสัมผัส

ให้อิงประสาทในส่วนของบริเวณสมองนั่นแหละ

ในส่วนของความทรงจํามันหยุดทํางาน

จิตหยั่งลงสู่ความหลับ {หยั่งลงในอวิชชา}

นี้ประเด็นหนึ่งนะ

-----

บุคคลผู้เข้าถึง

สภาวะขั้นสูงสุด

บนเส้นทางของการภาวนา

บุคคลนั้นเมื่อดํารงจิตได้โดยสมบูรณ์ใน

อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว

อย่าลืมนะนิพพานธาตุมีสองอย่าง

สอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน

ทั้งสองนิพพานนี้เป็นนิพพานของ

ของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตายแล้วนะ

ผู้ที่ดํารงจิตได้โดยสมบูรณ์คือ

ผู้เข้าถึงอยู่ อิงอาศัยอยู่

ในระดับอนุปาทิเสสนิพพาน

ผู้นั้นจะไม่หยั่งลงสู่ความหลับ

ที่อาจารย์บางท่านใช้คําว่าเป็นผู้มีราตรีหนึ่ง

คือผู้มีราตรีเดียว เป็นผู้มีราตรีอันเจริญแล้ว


ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม Group Sitting 05-01-2025

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน




ปฏิบัติธรรมต้อนรับศักราชใหม่ 2568 Group Sitting 2024-12-29
01/02/2025

พระอาจารย์ในนามประธานสงฆ์

ขออนุโมทนา ในกุศลเจตนาที่พวกเราทั้งหลายได้ร่วมกันเสียสละเวลา

มาหยั่งรู้ในการปฏิบัติบูชาในกาลครั้งนี้


พระอาจารย์ในนามประธานสงฆ์

ขออวยพรให้ผู้ปฏิบัติทุกท่าน

เนื่องในวันเทศกาลปีใหม่วาระโอกาสนี้

สิ่งใดภาระใดอันเป็นความเศร้าหมอง

อันเป็นการยึดการติด

จากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์

รู้ไม่เท่าทัน คือตัวอวิชชา


ขอให้พละแห่งความรู้แจ้ง

ปัญญาญาณที่เราสั่งสมมา

จงตั้งมั่นในขันธสันดาน

ในโอกาสวาระสำคัญนี้

ความแจ่มแจ้งในอริยสัจจธรรมอันใด

ที่เหล่าพระอริยเจ้าท่านได้เข้าถึงแล้ว

ท่านพ้นไปแล้วจากทุกข์ และเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง

ขอให้พวกเราทั้งหลายที่เดินบนเส้นทางในมัคคปฏิปทานี้

จงมีโอกาสแจ่มแจ้ง

จงมีโอกาสเข้าถึง

กับสภาวะการหลุดไป พ้นไปจากเหตุแห่งทุกข์

และกองทุกข์ทั้งปวง

ในปัจจุบันชาตินี้

โดยทั่วกันทุกท่าน เทอญฯ



ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม Group Sitting 29-12-2024

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน


อุปสรรคของสมาธิ และอุบายวิธีข้ามพ้นอุปสรรค Group Sitting 2024-12-22
12/27/2024

คำถาม เราจะข้ามพ้นอุปสรรคของการภาวนาได้อย่างไร สภาวะการรู้เห็น สภาวะเข้าไปรับรู้อารมณ์หนึ่งใดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงนั่นคือปรุงแต่งละ พอเห็นปุ๊บซึ่งการปรุงแต่งมันจะกลับมาที่ความเป็นกลางทันที สภาวะที่ปรุงแต่งนั่นคือการไม่เป็นกลางนะ พระอาจารย์จึงย้ำอยู่เสมอว่า จงเข้าไปรับรู้สภาวะที่ไม่เป็นกลางเพื่อเข้าไปสู่ความเป็นกลางนั่นแหละ


---

ปุจฉา :แต่ทีนี้พอพระอาจารย์ให้ดูลมจากตรงนี้มันก็ดูได้

แต่ว่ามันเห็นอย่างอื่นชัดกว่าลงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

การเคลื่อนของปราณแล้วก็การที่จักระจุดต่าง ๆ

ทุกจักระมันมีความเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหวเหล่านี้

ของปราณในช่องลมปราณทั้ง 3 ช่อง

แล้วก็จักกระเนี่ยมันชัดมากชัดกว่าลม

พอมันชัดกว่าลมคําถามก็คือ

ก็ดูสลับกันระหว่างลมกับสภาวะพวกนี้หรือว่าอย่าไปสนใจสภาวะพวกนี้เอาแต่ลมที่มันเห็นได้ยากกว่า

ให้ทําอย่างไรดี ?

วิสัชนา :

มันรับรู้ทั้งสองส่วนอยู่แล้วเพียงแต่ว่าหลักหลักก็คือ

ให้เห็นการเคลื่อนของลม

การเกิดการดับของลมอันนี้เป็นหลักอยู่แล้ว

เราจะไปปิดกั้นไม่ให้ไปรับรู้สภาวะ ​

ที่ในมหาสถิติปัฏฐานที่ว่าเห็นซึ่งกาย

เห็นสภาวะการเกิดดับที่เนื่องด้วยกาย

เห็นการเกิดดับของเวทนา ​

เห็นการเกิดดับของสภาวธรรมที่เนื่องด้วยเวทนานะ

มันเนื่องด้วย มันเกิดพร้อมมันอิงอาศัย

มันประกอบกับการเกิดดับของลมหายใจละ

ย่อมเป็นผู้รู้พร้อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับ

เราจะไม่ไปปิดกั้นหรือเราจะไม่นิยามว่าจะรู้ทั้งสองส่วนอะไรเหล่านี้

มันรู้ของมันเองนะ

มันรู้ของมันเอง

มันจะชําเลืองมันจะเป็นการเพ่ง

ในตัวเพ่งตัวเพ่งเพียรนะ ไม่ใช่เพ่งอภิชฌา

เพ่งเพียรจุดที่โฟกัสน่ะ ก็ต้องอยู่ที่ลมอยู่แล้วเป็นหลัก

ไม่ต้องไปกังวลว่าองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดดับของลมจะเลือนหายไป หรือจะแผ่วลง ไม่ต้องกังวล

มันจะชัดขึ้นแและชัดขึ้น

เมื่อชัดแล้วอย่าให้ความกังวลหนึ่งใดเข้ามาแทรก

หากเข้ามาแทรกแล้วจงคลี่คลายมันให้ได้

เอ๊ะมันเป็นเพียงความเกิดและความดับ

อยู่ตรงนี้นะอยู่กับความชัดของลมหายใจนี่นะ

อันนี้อาจจะมีจิตอีกดวงหนึ่ง

อาจจะมีเจตสิกอีกอันนึงสงสัยอีกแล้ว

ยังอยู่อย่างนี้มันอาจจะไม่ได้อะไร ฉันอยากจะไปอยู่กับสภาวะธรรม

ที่มันเกิดที่มันดับ ที่เนื่องด้วยกายเนื่องด้วยลม ก็ไปเลย

ใครห้ามล่ะ อยากจะรู้อยากจะเห็นอยากพิสูจน์ใช่ไหมล่ะ

ไปเลยไม่ต้องอยู่กับลมแล้ว

มันจะได้ข้ามพ้นความสงสัยสักที

ก็เราปฎิบัติแล้วเรารู้เราเห็นเองสัมผัสเอง

เราเป็นผู้เดินบนเส้นทางนี้ เอาเลยประสบการณ์อยู่กับลมเป็นอย่างงี้

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอยู่กับลมอย่างนี้แล้วผลลัพธ์เป็นยังไง

เมื่ออยู่กับลมแล้วมีสภาวะการเกิดดับของบางสภาวะมันชัด

ไม่อยู่แล้วลม ! มาอยู่กับสิ่งนั้นและผลมันเป็นยังไงไม่ต้องสงสัย

นั่นคือการเรียนรู้นี่คือการปฏิบัตินี่คือการเดินทางบนเส้นทางอย่างมัคคะ

เอาประสบการณ์เอาสภาวะเอาความจริง

มาพิสูจน์ด้วยตัวเอง

แล้วการรู้แจ้งเห็นจริงกับสภาวะธรรม

ที่ปรากฏแจ่มแจ้งตรงตามความเป็นจริง

จะแจ่มแจ้งกับเราอย่างอย่างแน่นอน


ธาตุ ๖ Group Sitting 2024-12-15
12/21/2024

.


หลักความเชื่อของชาวพุทธ Group Sitting 2024-12-08
12/18/2024

เหตุดับผลดับ แล้วเหตุจะดับไปได้ในแบบไหน

ก็องค์ความรู้ในมรรคมีองค์ ๘ นี่ไง

สมบูรณ์แล้ว บริบูรณ์แล้ว ดับรอบแล้ว

จิตไม่ต้องมาเวียนว่ายในวัฏจักรของเวลา

ที่มีความเกิด ความเสื่อมและความดับ

ไม่ต้องมาอีกแล้ว

เรียกว่าสภาวะที่ไม่มีกาลเวลา

เมื่อไม่มีกาลเวลาก็ไม่มีการเคลื่อน

ไม่มีการเคลื่อนก็คือไม่มีการเกิดไม่มีการดับ

อะไรเป็นกรอบอ้างอิงของการเคลื่อนของการเกิดดับก็คือ "รูปนาม" นี่ไง

สภาวะนั้นเรียกว่าโลกุตตระ อกาลิโก หรือนิพพานธาตุ

ที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว

พระอาจารย์แสดงธรรมนำความจริงมาแบ่งปันในวันนี้

คนรุ่นใหม่ที่มีองค์ความรู้ในระดับปรัชญา

หรือระดับสมาธิวิปัสสนา ระดับภาวนา

ที่ยังเข้าไม่ถึง แต่ก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้

ที่จะศึกษา มาได้ยินได้ฟัง

มีนะ สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ

พูดถึงว่าภาษาไทยเราชอบใช้คําว่าธรรมชาติ

"ธรรม" สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น

ชาติแปลว่าการเกิด

เพราะฉะนั้นเราจะสื่อความหมายว่านิพพานเป็นธรรมชาติน่ะไม่ได้นะ

เพราะนิพพานโลกุตตระนั้น

ไม่อยู่ในขอบข่ายของความหมายว่าธรรมชาติ

คือเป็นธรรมที่ไม่มีชาติ ไม่มีชาติแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นแล้ว

เมื่อไม่มีเกิดจะมีดับได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ เราควรใช้ศัพท์นี้ให้ถูกต้อง

คำว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ

นั้นเรากําลังพูดถึงระดับโลกียะ

ระดับของเวลา กรอบของเวลา

เมื่อเข้าถึงแล้ว ดับแล้ว ​

ซึ่งการเข้าถึงองค์ความรู้ของพระพุทธองค์

ที่ทรงพร่ำสอนมาตั้งแต่สัมมาทิฏฐิเบื้องต้น

ดับทุกข์ได้จริงมั้ย ปลดเปลื้องภาระของขันธ์ ของชีวิต

ชีวิตมันเบาลง มันสงบระงับลง สัมผัสความสุขได้โดยง่าย

โดยอาศัยสัมภาษาทิฏฐิในเบื้องต้น

จนกระทั่งว่าเป็นสัมมาทิฏฐิในเบื้องปลาย

กระทั่งว่าเข้าไปสู่การดับทุกข์ได้โดยรอบคือ นิพพาน

สิ่งสําคัญที่เราเป็นผู้สมาทานตนเองที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งพุทธะ

คําสอนพระองค์ท่าน

เราต้องตระหนัก เราต้องแบ่งปันองค์ความรู้เสมอว่า

ความดับทุกข์นี้แม้เป็นสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น

ประจักษ์พยานความเป็นจริงที่จะดับทุกข์ได้นะ

แม้แต่นิพพานนี่นะ

จะต้องเป็นประสบการณ์ในชาตินี้

มิใช่หลังตายไปแล้ว

ความจริงอันเป็นที่ประจักษ์

การบรรลุ การสัมผัส การเข้าถึงความจริงแต่ละระดับ

จะต้องไปจากในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

พูดภาษาชาวบ้านก็ยังในขณะที่เป็นคนอยู่นี่แหละเป็นมนุษย์อยู่เนี่ย

ไม่ใช่ว่าเราจะเสพสุขดับทุกข์ได้

หลังจากที่เราตายไปแล้ว

คําสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้เน้นไปอย่างนั้น

เป็นสิ่งที่พึงประจักษ์แจ้งในปัจจุบัน

ในขณะที่รูปและนามกําลังดํารงอยู่ ​

องค์ความรู้เหล่านี้

จิตจะแจ่มแจ้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มิใช่หลังการตาย

แต่ตราบใดที่นิยามว่าดับเหตุไม่หมด

ผลจะมีนัยยะแบบไหน คติจะเป็นแบบไหน

โลกชีวิตหลังการตาย กฏแห่งกรรมไง

จิตดวงนี้เสพคุ้นอยู่กับอารมณ์แบบไหน

เสพคุ้นอยู่กับทุกข์

เสพคุ้นอยู่กับความบีบคั้นอยู่กับความขัดแย้ง

เสพคุ้นอยู่กับอารมณ์ที่รุนแรง

ไม่มีเมตตาจิต ไม่มีการแบ่งป


ตัดความสัมพันธ์จากใจ Group Sitting 2024-12-01
12/12/2024

ปุจฉา ศูนย์กลางกาย ศูนย์กลางใจ ศูนย์กลางสมอง มีบทบาทอย่างไร ?

ผู้ที่เข้าไปสู่สมาธิระดับฌานจิต

การเคลื่อนเข้าไปสู่ฌานจิตจะผ่านหัวใจนะ

หัวใจนี้จะเป็นประตูทวารหลัก

เพราะว่าเจตสิกแต่ละองค์ประกอบของฌานจิต

ที่จะดับไปนั้น ​ ไปดับที่ใจ ​ เจตสิกล้อมรอบที่หัวใจ

พอดับปีตีเขาก็เคลื่อนเข้าสู่ฌานที่ 3

ดับสุขจิตก็เคลื่อนเข้าสู่ฌานที่ 4

แต่พอหลังจาก 22 กรกฏาคม 2564 ไม่เป็นเช่นนั้น

การดับเจตสิกจะไปดับที่กึ่งกลางสมอง

แต่หัวใจก็ยังมีบทบาทอยู่นะ

เมื่อก่อนนั้นที่เราเคยได้ยินได้ฟัง

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้าสําเร็จแล้วได้ด้วยใจ

ทั้งกุศลและอกุศลมีใจเป็นจุดศูนย์กลางของการรับรู้อารมณ์ทุกประเภท

แต่ ณ วันนี้ตั้งแต่ 22 กรกฎาปี 64 เป็นต้นมา

ใจยังเป็นจุดศูนย์กลางในการรับรู้อยู่แต่

เป็นฝ่ายของอกุศลธรรมเท่านั้นนะ

ส่วนที่เป็นฝ่ายกุศลธรรมการรับรู้ที่นับเนื่องด้วยปฏิปทา เนื่องด้วยมรรค

เนื่องด้วยสมาธิและปัญญา จุดศูนย์รวมของการรับรู้จะอยู่ที่กึ่งกลางสมอง

พระอาจารย์ก็มีอุบายวิธี

ใครที่ถูกแรงร้อยรัด แรงยึดแรงติด แรงรักชัง ชอบไม่ชอบ

อภิชฌาและโทมนัสมันร้อยรัดจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์

เมื่อใดที่ร้อยรัดปุ๊บ จุดศูนย์กลางของการรับรู้จะถูกเหนี่ยวไว้ที่ใจทั้งหมด

หากว่ากําลังอินทรีย์เรามีไม่มากพอ

จะไปเพิกถอนกําลังตัวที่ร้อยรัดนี้ มันยากมาก

มีเทคนิคก็คือให้เราเคลื่อน . .

ให้เราสังเกตว่าในขณะที่พัวพัน

ในขณะที่ขัดแย้ง ในขณะที่ฟุ้งซ่าน

ในขณะที่ในเผชิญกับอุปสรรคของการปฏิบัติ

แสดงว่ามันถูกหน่วงมาที่หัวใจละ

ง่ายนิดเดียวเราก็เอาความรู้สึกไปโฟกัสไปเพ่งที่กึ่งกลางสมองก็จบละ

จะไม่มีแรงดึง ดึงกลับลงมาอีก

ถึงมีก็ใช้เวลานานมาก

ปิยทัสสี ภิกขุ

Group Sitting 2024-12-01


อุบายวิธีสัมผัสกับสมาธิได้โดยง่าย Group sitting 2024-11-24
12/02/2024

มีผู้ปฎิบัติบางท่าน ที่สังขารตกค้างเยอะ

อาจจะนําไปสู่สภาวะของความง่วง

ของความเมื่อยล้า ของความไม่สดชื่น

เหมือนกายนี้มันหนักมาก ความรู้สึกก็หนักมาก

อะไรก็ไม่ชัดไปทั้งหมด

หากว่าใครที่กําลังเผชิญกับอุปสรรคแบบนี้นะ

ให้เอาความรู้สึกมาเพ่งที่สะบักไหล่ทั้งสองด้าน

พร้อมกับลมหายใจเข้านะ

หายใจเข้าเพ่งไปที่สะบักไหล่ทั้งสองด้าน

หายใจออกปล่อยไป

อยู่บนไหล่นั่นแหละแต่ว่ามันเยื้อง

ไปทางด้านหลังเค้าเรียกว่าสะบักไหล่

แสงก็มาเร็วนะผู้ปฏิบัติบางท่านก็ขนลุกขนชัน

มันทําให้กายนี้ตื่นขึ้นมา

ความมืด ธาตุหนัก ความเมื่อยล้า

เราจะใช้พลังงานจากออกซิเจนไปเผามัน

โดยการเพ่งที่สะบักไหล่พร้อมกับลมหายใจเข้า

หายใจออกปล่อยไป หายใจเข้าเพ่งมาตรงนี้อีก

อยู่อย่างงี้

อุปสรรคคือความง่วง ถีนมิทธะ นิวรณ์

ความไม่ชัดมันเบลอ ๆ

หรืออุปสรรคอย่างอื่น

ความคิดนึก ความฟุ้งซ่านความสงสัย

ความชอบไม่ชอบที่พัวพันในอารมณ์

ที่มันร้อยรัดจิตให้ติดอยู่ในอารมณ์อุปสรรคทุกอย่าง

ทุกประเภทนะสามารถใช้อุบายนี้ได้

. . .

ลําดับสภาวธรรมจะเป็นแบบนี้นะ

จะเคลื่อนไปเอง จากหยาบไปละเอียด

โดยสภาวธรรมและอานาปานสติไม่มีใครจะไปทําลมหายใจสั้นได้

ตั้งแต่ลมหายใจสั้นเป็นต้นไป

สภาวธรรมจะปรากฏขึ้นเอง เป็นไปเอง

จากลมยาวเป็นลมสั้น จักเคลื่อนไปเองเป็นไปเอง

หากยังไม่เคลื่อนไปสู่ลมหายใจสั้น

ก็อยู่กับลมหายใจยาวนั่นแหละ

ตราบใดที่จิตไม่เคลื่อนออก

จากสะบักไหล่ในขณะลมหายใจเข้านะ

ตราบนั้นจิตของผู้ปฏิบัติก็จะสัมผัสกับความเบา

ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม Group Sitting 24-11-2024

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

=========


https://youtu.be/g1XEwTI29z4


ยุคการเจริญวิปัสสนานำหน้าสมาธิ Group Sitting 2024-11-17
11/26/2024

เพราะว่าในจิตของคนในยุคนี้เสพข้อมูลเยอะมาก เมื่อเสพข้อมูลเยอะก็จะสงสัยเยอะ โอกาสที่จิตจะเป็นหนึ่ง หรือหยั่งลงสู่อารมณ์ที่หลากหลายนั้น หยั่งลงได้ยาก หรืออีกประเด็นหนึ่งก็คือในยุคของเรา เป็นยุคของความหลากหลายทางด้านความเพลิน ความเพลินในกาม เพลินในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี่มันเร้านะ มันมีมิติซับซ้อนยิ่งกว่า มากกว่าสมัยพุทธกาล ทั้งรูปทั้งเสียงกลิ่นรสสัมผัสมันมีมิติหลากหลายมาก ฉะนั้นความซับซ้อนของความเพลินในอารมณ์ ซึ่งเป็นตัวอุปสรรคของการหยั่งลงสู่สมาธินี้มันยาก นั่นหมายถึงว่า เป็นยุคของกามสุขัลลิกานุโยคจริง ๆ เพลินไปกับความสุขอันเกิดจากอารมณ์ ที่ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 หากว่าเรามองไป หรือว่าเป็นผู้ช่างสังเกต มรรคมีองค์ 8 พุทธองค์ท่านก็ไม่ได้เอาสมาธินํานะ ไม่ได้เอาสมถะนํา พระองค์ท่านจะนําเสนอเรื่องปัญญาก่อน ความเห็นที่ถูกต้อง ความดำริที่ถูกต้อง ความเห็นที่ถูกต้องนี้เป็นปัญญา เห็นอย่างไร เห็นในสัจจะทั้ง 4 สัจจะหมายถึงสภาวะที่กําลังปรากฏ สภาวะไหนที่ปรากฏชัด ที่หยั่งลงได้ง่ายอันดับต้น ก็คือทุกขสัจจ์ ปิยทัสสี ภิกขุ ============ นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม Group Sitting 17-11-2024 พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน ========= Because in the minds of people in this era, there is excessive consumption of information. When consuming a lot of information, one becomes more doubtful. The opportunity for the mind to become one or to penetrate into various emotions becomes difficult. Another aspect is that our era is an era of diverse pleasures - pleasure in sensual desires, pleasure in forms, tastes, smells, sounds, and touch. These five sensory experiences are stimulating and have more complex dimensions compared to the Buddha's time. Both visual and sensory experiences have extremely diverse dimensions. Therefore, the complexity of emotional pleasure becomes an obstacle to entering concentration. This truly represents an era of sensual indulgence (kāmasukhallikānuyoga) - being immersed in pleasures arising from sensory experiences through the five senses. If we observe carefully, the Buddha did not lead with concentration or samatha. Instead, He presented wisdom first - right view and right intention. Right view is wisdom. How to see? By seeing the four noble truths. Truths mean the states that are currently manifesting. Among these states, the one that appears most clearly and is easiest to penetrate is dukkha (suffering) as the first noble truth. Ven Narasapa Piyadassi ===================

https://youtu.be/efeumCFqb3o



ผู้เห็นการเคลื่อนของเวลา ย่อมเห็นการเกิด ดับของรูป นาม Group Sitting 2024-11-10
11/16/2024

จิตที่มีอวิชชาจะหลงท่องเที่ยวอยู่ไปในโลกของเวลาที่เรียกว่าสังสารวัฏ

แต่เมื่อใดที่เรามองว่าเป็นเพียงเวลา

.

สมหวังพลาดหวังยังไงก็คืออดีตที่ผ่านไปแล้ว

มันไม่มีอยู่จริงนะ

ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกของเวลานั้น

.

มีแต่เรื่องของอารมณ์ เรื่องของอายตนะ

มองเช่นนี้เห็นเช่นนี้ เข้าใจเช่นนี้

ไม่มีแล้วสัตวบุคคลตัวตนเราเขา

มองเห็นเช่นนี้ประจักษ์ชัดเช่นนี้จิตจะโล่งนะ

ความรู้สึกที่โล่งเบาก็ไปรวมศูนย์ที่กึ่งกลางสมองเหมือนกัน

จงใช้ความนิ่งความเบา

มาสัมผัสกับปัจจุบันกาลของรูป

ปัจจุบันกาลของลมหายใจที่กําลังเคลื่อน

.

ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม

Group Sitting 10-11-2024

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

=========


สมอง เงียบจากความคิด Group Sitting 2024-10-27
11/11/2024

เมื่อใดโมเมนต์ไหนที่จิตมันอยู่กับปลายลิ้น

ลมหายใจเนี่ยมันจะหายไปเลย หมายถึงว่าลมจะเบา

ที่ลมเบาเพราะว่าความคิดไม่ปรากฏ

ปริมาณความคิดกับปริมาณของลมหายใจจะสัมพันธ์กันเสมอทุกระดับชั้น

ของสมาธินะ

เมื่อปริมาณความคิดลดลงด้วยอุบายใดอุบายหนึ่ง

ลมหายใจก็จะลดลงด้วย

เป็นไปโดยอัตโนมัตินะ



ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม

Group Sitting 27-10-2024

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

=========


ปุจฉา : วิสัชนา


ก่อนที่จะมีสภาวะของวิมุตติญาณทัสสนะปรากฏในระดับการบรรลุธรรมขั้นสุดท้าย

เรียกว่าอรหัตตมรรคญาณปรากฎ

แล้วก่อนที่วิมุตติญาณทัสสนะจะปรากฏ

ก็จะมีธรรมจักร ธรรมจักรก็คือการเห็น

เอาง่าย ๆ ก็คือสภาวะของวิญญาณธาตุนะ

วิญญาณธาตุ


ก่อนที่จะพูดถึงตรงนี้ก็เราก็ต้องไปที่พระสูตรนะ

ยกตัวอย่างพระสูตรพระองค์ท่านตรัส

ว่าเมื่อวิญญาณรับรู้อารมณ์แล้ว

หากว่ามีนันทิความเพลินเข้าไปประกอบกับการรับรู้ ในอารมณ์นั้น

นั่นคือที่ตั้งแห่งภพ


พระองค์ท่านไม่ตรัสนะว่า ความเพลินนี้ตั้งอยู่ในเวทนา

ในสัญญา ในสังขาร !

พระองค์ท่านตรัสความเพลินนี้เป็นปรากฏการณ์

เป็นสภาวะที่ วิญญาณรับรู้อารมณ์

ความเพลินเข้าไปประกอบด้วยนั่นคือที่ตั้งแห่งภพ


วิญญาณเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์

กรรมที่กระทําแล้วเปรียบเสมือนพื้นดิน

แล้วเมล็ดพันธุ์นี้มีพีชะ หากว่ามีความชื้นหรือตกลงบนพื้นดิน

มันก็พร้อมที่จะงอกเป็นต้นใหม่

มันมีพีชะอยู่ในนี้ มียางเหนียว มีสิ่งมีชีวิต

อยู่ในเมล็ดพันธุ์นะ

อันนี้ก็คือตัว "ตัณหา"





สังโยชน์ ๑๐ Group Sitting 2024-10-20
10/31/2024

...

ปรากฏว่าเมื่อมันถึงจุดเต็มรอบแล้ว

พอจิตเคลื่อนเข้าสู่ฌานที่หนึ่ง เคลื่อนไปสู่ฌานที่สอง

ดํารงอยู่ในฌานที่สาม ยกตัวอย่างนะในฌานที่สาม

แทนที่จะเคลื่อนขึ้นไปฌานที่สี่ ไม่แล้ว!

ฌานที่สี่นี้เป็นบาทฐานให้กับการบรรลุ

คือการดับสิ้นสุดลงของรูปและนามก็ปรากฏนะ

นั่นแสดงว่า

อนาคามีมัคคญาณมีตติยฌานเป็นบาทฐาน

ทํากิจเป็นสัมมาสมาธิเกิดร่วมกับตัวปัญญาพละวิปัสสนาพละ


หลักโดยสภาวะนั้นมีอยู่ว่า เมื่ออนาคามีมรรคเกิดแล้ว

เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวใช่ไหมอย่าลืมนะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียว

มีคุรุบางท่านบอกว่ามันเกิดขึ้นเพียงวินาทีนั่นเอง

แต่ในทางอรรถกถาของทางวิสุทธิมรรคเกิดเร็วกว่านั้นอีก

เร็วยิ่งกว่าแสงอีก ก็ไม่เป็นไรแต่ว่าเร็วก็แล้วกัน


อนาคามีมัคคญาณเกิดขึ้นแล้วดับไป

ญาณทัสสนะจะปรากฏสืบต่อทันทีเลยนะ ทันทีเลย

ญาณทัสสนะจะเกิดหลังจากที่จิตดวงนั้น

ได้ดับกามราคะปฏิคะได้แล้ว

ผู้ที่ยังดับกามราคะดับความยินดีในกามไม่ได้ญาณทัสสนะจะยังไม่เกิดนะ

เพราะฉะนั้นญาณทัสสนะจะเกิดครั้งแรกก็คือหลังจากที่อนาคามีมัคคญาณดับไป

เกิดขึ้นปุ๊บแล้วดับไป เพียงขณะเดียวแล้วดับไป อย่าลืมนะ

มัคคญานซึ่งมี 4 มรรคด้วยกันในสังสารวัฏนี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น


ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้นเป็นผล อนาคามีผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล โสดาปัตติผล

ที่เราเคยได้ยินก็คือ ไปเสวยนิพพาน

ไปเสวยสภาวะที่ตัวเองได้บรรลุแล้วดังปรารถนา

เรียกว่าผลญาณ ถ้าได้ดังปรารถนาเรียกว่าผลสมาบัติ


ปิยทัสสี ภิกขุ

============

นำนั่งปฏิบัติกลุ่ม

Group Sitting 20-10-2024

พระอาจารย์นาวี ปิยทัสสี

ศูนย์วิปัสสนาวัดถ้ำดอยโตน

=========


ความสัมพันธ์นั้นเป็นกระจกเงาที่สะท้อนภาพลักษณ์ตัวตนของแต่ละคน

สะท้อนซึ่งกันและกัน อีกอย่างการเติมเต็มนั้นไม่มีที่สิ้นสุดนะ

แท้ที่จริงมันไม่มีนะตัวตนตัวนี้

พอไปถึงจุดจุดหนึ่ง

ความสงสัยเอ๊ะฉันเคยเติมเต็มกับตัวตนในเรื่องนี้ ด้วยวิธีนี้

ด้วยความสัมพันธ์นี้ด้วยกิจกรรมนี้ ด้วยความเชื่อแบบนี้

มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยเรื่อย

พฤติกรรมที่เราหาอุบายวิธี ที่เราไปเติมเต็มเขาเรียกว่า

ศีลพตปรามาส